วันนี้ (8 กันยายน 2564) ตัวแทนนิสิต นักศึกษา และศิษย์เก่าอาชีวอนามัยและความปลอดภัย รวมตัวกันที่หน้ากระทรวงแรงงานเพื่อแถลงการณ์และยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คัดค้านการออกกฎหมายว่าด้วยการมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ระดับวิชาชีพ (จป.วิชาชีพ) ข้อ 21(3) ที่ทำให้นิสิตนักศึกษาหลายพันคนต้องตกงาน และมาตรฐานการคุ้มครองความปลอดภัยแรงงานและสภาพแวดล้อมในการทำงานต้องอยู่ในภาวะเสี่ยง
เป็นเวลา 15 ปีแล้วที่กระทรวงแรงงานกำหนดว่าจป.วิชาชีพต้องมีคุณสมบัติสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เพื่อคุณภาพการคุ้มครองความปลอดภัยแรงงาน และส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งสภาพการทำงานที่ดี ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันมี 48 มหาวิทยาลัยที่ผลิตบัณฑิตทางด้านนี้ออกมา สามารถผลิตได้ปีละกว่าสองพันคน แต่มาขณะนี้ กระทรวงแรงงานโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะเปลี่ยนกฎหมายไปเป็นว่าโรงงานสามารถส่งคนที่จบปริญญาตรีอะไรมาก็ได้ ทำงานมา 5 ปี จะเป็นเสมียนเป็นแม่บ้านได้หมด สามารถเข้าอบรมเพียง 222 ชั่วโมงเพื่อมาเป็นจป.วิชาชีพได้ อย่างนี้บัณฑิตจบใหม่ที่ใช้เวลาเรียนนานถึง 4 ปี ตกงานหมดแน่นอน เพราะนายจ้างจะใช้วิธีส่งคนในโรงงานมาอบรม เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่า เงินเดือนถูกกว่า และยังมอบหมายงานเดิมให้ทำได้
ขณะนี้มีตัวเลขชัดเจนว่าจำนวนบัณฑิตทางด้านนี้จะมีมากกว่าความต้องการของทางโรงงานที่ต้องมีจป.วิชาชีพ และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้ส่งเรื่องชี้แจงและคัดค้านเรื่องดังกล่าวถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแล้ว และจากการประมาณการที่ต้องอบรมคนกว่าสามพันกว่าคน จะทำให้มีรายได้จากการจัดฝึกอบรมร้อยกว่าล้านบาท ซึ่งไม่ทราบว่านี้คือแรงผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายหรือไม่ และเป็นการทำงานที่ถอยหลังไปเหมือนเมื่อ 36 ปีที่แล้วที่มีการออกกฎหมายว่าด้วยจป.เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2528”
สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือปัญหาอุบัติเหตุ ระเบิด ไฟไหม้ สารเคมีรั่วไหล และโรคจากการทำงาน ส่งผลกระทบไม่เฉพาะต่อนายจ้าง ลูกจ้าง และสาธารณชนเท่านั้น ยังมีผลต่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ซึ่งองค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือไอแอลโอ (ILO) ประมาณจากความสูญเสียจากอุบัติเหตุและความเจ็บป่วยที่เกี่ยวเนื่องจากการทำงานคิดเป็น 4% Annual GDP และการดำเนินงานต้องอาศัยผู้ที่จบปริญญาตรีด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยโดยตรงเป็นแกนหลักในการทำงาน และทำงานร่วมกับวิชาชีพอื่นที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และกระทรวงแรงงานมีนโยบายชัดเจนที่จะส่งเสริมและสนับสนุนการมีงานทำของบัณฑิตใหม่ แต่การผลักดันที่จะกำหนดข้อ 21(3) โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้แจ้งไป จึงเป็นเสมือนการกระทำที่ขัดแย้งกับนโยบายอย่างยิ่ง ดังนั้น ในท้ายที่สุด หากไม่ได้รับความยุติธรรม นิสิตนักศึกษาคงต้องอาศัยบารมีศาลที่จะคืนความเป็นธรรมและความถูกต้องกลับมา.
Discussion about this post