เมื่อวันที่ 29 ต.ค. นางกัลยาณี ศิวธรรมปัญญา รองศึกษาธิการ รักษาการศึกษาธิการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดฯได้ประสานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฯเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเด็กนักเรียนอายุ 12-18 ปีในสถานศึกษาทุกสังกัดของ จ.ประจวบฯอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมการกลับไปเรียนที่โรงเรียนหรือรูปแบบ On Site ในภาคเรียนที่ 2/2564 โดยมีนักเรียนแสดงความประสงค์ขอรับฉีดวัคซีนจำนวน 38,130 คนจากนักเรียนทั้งหมด 41,937 คน คิดเป็น 90.92 % ล่าสุดมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ไปแล้ว 26,820 คน ส่วนสัปดาห์หน้าในวันที่ 1 และ 4 พ.ย.64 จะมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ให้กับนักเรียนอีก 9,420 คน ในส่วนของนักเรียนอีกประมาณกว่า 3,000 คนที่ไม่ประสงค์ขอรับวัคซีนยังสามารถเปลี่ยนใจได้ตลอดเวลา รวมทั้งได้ประสานทุกโรงเรียนให้สำรวจผู้ปกครองนักเรียนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเพื่อรวบรวมตัวเลขส่งให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฯ เพื่อเสนอขอรับวัคซีนมาฉีดให้ สร้างความปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาดจากผู้ปกครองสู่นักเรียน ขณะที่ครูในสถานศึกษาทุกสังกัดของ จ.ประจวบฯได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันเข็มที่ 3 ไปแล้วร้อยละ 95.35

“สำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 จะยึดตามแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และทางจังหวัด หากโรงเรียนใดต้องการเปิดเรียนแบบ On Site จะต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดฯ ซึ่งในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ต.ค.64 เห็นชอบให้สถานศึกษาจำนวน 437 โรงเรียน เลื่อนการเปิดเรียนการสอนแบบ On Site ออกไปเป็นวันที่ 15 พ.ย.64 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดองโรคโควิด-19 ในพื้นที่ยังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงอยู่ อย่างไรก็ตาม ทุกโรงเรียนสามารถเปิดการเรียนการสอนแบบ On Line ได้ในวันที่ 1 พ.ย.64 และเมื่อเปิดการเรียนแบบ On Site ได้ จะไม่มีการนำเรื่องการฉีดวัคซีนมาเป็นข้อจำกัดไม่ให้เด็กที่ยังไม่ฉีดวัคซีนมาโรงเรียน แต่อยากขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองอนุญาตให้บุตรหลานฉีดวัคซีนทุกคนจะเป็นการดีที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในการป้องกันเชื้อโควิด-19” นางกัลยาณี กล่าว

ขณะที่นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการ จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวเน้นย้ำในการประชุมคณะกรรมการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยที่ศาลากลางจังหวัด ถึงสถานการณ์แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายตามแนวชายแดนพื้นที่ จ.ประจวบฯ ซึ่งในระยะนี้พบว่ามีผลการจับกุมคนต่างด้าวชาวเมียนมาลักลอบเดินเท้ามาตามช่องทางธรรมชาติเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น โดยได้กำชับให้หน่วยงานด้านความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการทำงานร่วมกัน เพิ่มความเข้มงวดเฝ้าระวังสกัดกั้นโดยเฉพาะบริเวณช่องทางธรรมชาติที่มีสถิติการจับกุมคนต่างด้าวได้บ่อยครั้ง นอกจากนี้ให้มีการจัดชุดเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบสถานประกอบการโรงงานต่างๆอย่างต่อเนื่องเพื่อกวดขันไม่ให้มีการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเพราะนอกจากจะส่งผลกระทบต่อปัญหาความมั่นคงแล้ว ยังเสี่ยงต่อการนำเชื้อโควิด-19 เข้ามาแพร่ระบาดในไทยด้วย พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้นายอำเภอทุกอำเภอสำรวจจำนวนเตียงรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และการจัดตั้งศูนย์พักคอยแยกกักผู้ติดเชื้อโควิด-19 หรือ CI ให้เพียงพอต่อการรองรับสถานการณ์ที่อาจมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นด้วย.
Discussion about this post