ผู้สื่อข่าว จ.ยะลา รายงานว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย รวมถึงคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ เมื่อประสงค์เดินทางเข้าประเทศไทย ทาง ศบค. ได้กำหนดให้ลงทะเบียนในระบบ Thailand pass โดยมีให้เลือกเดินทางเข้าประเทศไทยได้ 3 ช่อง ทาง คือ 1. ช่องทาง Test and Go 2. ช่องทาง Sandbox program 3. ช่องทาง Happy Quarantine scheme ทั้งนี้เพื่อเป็นมาตรการในป้องกันและควบคุมโรคระบาดโควิด-19
ปัจจุบันกลุ่มผู้แสวงบุญที่เดินทางกลับจากประเทศซาอุดีอาราเบีย เลือกลงทะเบียนในช่องทางที่ 1 คือ Test and Go และช่องทางที่ 2 คือ Phuket sandbox ตามมาตรการผู้แสวงบุญทุกคนต้องปฏิบัติคือ ก่อนออกเดินทางจะประเทศซาอุดีอาราเบีย จะต้องได้รับการตรวจ RT-PCR ทุกราย หากผลออกมาเป็นบวก (พบเชื้อ) จะต้องเข้ารับการรักษาตัวที่หน่วยงานการแพทย์ของประเทศซาอุดีอาราเบียทุกราย หากผลออกเป็นลบ(ไม่พบเชื้อ) จึงสามารถเดินทางได้ และเมื่อผู้แสวงบุญเดินทางถึงสนามบินนานาชาติภูเก็ต จะได้รับการตรวจ RT-PCR อีกครั้ง เป็นมาตรการขั้นที่ 2 และผู้เดินทางจะต้องเข้าพักโรงแรมที่ลงทะเบียนในระบบ SHA+ เป็นเวลาอย่างน้อย1 คืน หรือจนกว่าจะทราบผลตรวจ RT-PCR หากผลตรวจเป็นบวก (พบเชื้อ) จะได้รับประสานงานจากสาธารณสุขพื้นที่ เพื่อเข้ารับการดูแลตามมาตรฐานการแพทย์ หากผลตรวจเป็นลบ (ไม่พบเชื้อ) จะได้รับอนุญาตให้เดินทางต่อไปยังปลายทางได้ ในจำนวนผู้ร่วมเดินทางครั้งนี้ ผลตรวจ RT-PCR ที่ประเทศซาอุดีอาราเบีย เป็นลบ (ไม่พบเชื้อ)ทุกราย จึงสามารถเดินทางออกจากประเทศซาอุดีอาราเบียได้ และเมื่อมาถึงสนามบินนานาชาติภูเก็ตได้ตรวจ RT-PCR ซ้ำพบว่าเป็นบวก 5 ราย และได้ทำการตรวจยืนยันซ้ำด้วยวิธี RT-PCR อีกครั้งพบว่าเป็นบวกเพียง 3 ราย เป็นชาวปัตตานี 2 ราย และชาวนราธิวาส 1 ราย ซึ่งทางสาธารณสุขพื้นที่ได้ติดต่อประสานงานดูแลรักษาตามมาตรฐานการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้ร่วมเดินทางที่ผลตรวจ RT-PCR เป็นลบ ได้รับการกักตัวเพื่อสังเกตุอาการในห้องพักต่ออีก จำนวน 5 วัน ซึ่งเลยระยะฟักตัวของเชื้อแล้ว อธิบายได้ว่าหากมีเชื้อในร่างกายจะแสดงอาการออกมาภายใน 3 วัน ดังนั้นหากเลยระยะฟักตัว 5 วัน คาดว่าจะไม่มีเชื้อโควิดแล้ว สำหรับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทุกรายได้รับการตรวจ ATK ก่อนเดินทางกลับภูมิลำเนา ทั้งนี้เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและรัดกุมมากขึ้น ทางสาธารณสุขได้แนะนำให้ผู้เดินทางทุกคนกักตัวเองต่อเนื่องจนครบ 14 วันเมื่อเดินทางกลับภูมิลำเนาของตัวเอง และทางสาธารณสุขจะส่งข้อมูลไปยังพื้นที่เพื่อร่วมติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งผู้เดินทางอุมเราะห์ ครั้งนี้ทั้งหมด 137 คนแยกการเดินทางออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรก 50 กว่าคน และกลุ่มที่ 2 จำนวน 70 กว่าคน ทั้ง 2 กลุ่มแยกเดินทางคนละ วัน โดย กลุ่มแรก วันที่ 9 ธันวาคม 2564 ทาง เจ้าหน้าที่สาธารณะสุขเมกกะ ได้ RT-CPR ผลตรวจออกมาเป็นลบ ภายใน 72 ชั่วโมง ก่อนเดินทางกลับออกจากสาอุฯวันที่ 11 ธันวาคม ถึง ภูเก็ตวันที่ 12 ธันวาคม 2564 และเข้ากักตัวที่โรงแรม ตามมาตราการ Phuket sandbox จำนวน 5 วัน จากนั้น วันที่ 17 ธันวาคม ทั้งหมด เดินทางกลับภูมิลำเนาพร้อมกักตัวที่บ้านอีก 14 วันตามมาตราการสาธารณะสุขทุกขันตอน โดยรวม จากการตรวจสอบข้อมูล ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มและทั้งหมดมีสุขภาพปกติทุกอย่าง
เชื้อโควิด 19 เป็น RNA virus ซึ่งธรรมชาติของไวรัสชนิดนี้จะมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันพบว่ามีการกลายพันธุ์ไปแล้วมากกว่า 1000 สายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์ที่ได้รับการสนใจเป็นพิเศษได้แก่ 4 สายพันธุ์ คือ แกมม่า อัลฟ่า เบต้า และเดลต้า แต่ปัจจุบันมีสายพันธุ์ใหม่เพิ่มมาอีก 1 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งสายพันธุ์นี้ถูกรายงานครั้งแรกที่แอฟริกา โดยอาการส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับโรคโควิดสายพันธุ์อื่นๆ คือ มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ปอดอักเสบเล็กน้อย ไม่มีไข้ จมูกรับกลิ่นปกติ การรักษา ยังคงเป็นเป็นแนวทางเดียวกับการรักษาของสายพันธุ์อื่นๆ คือ รับประทานยาต้านไวรัส และแยกตัวรักษาเป็นเวลา 10 วัน เมื่อครบ 10 วันแล้วสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติตามวิถีใหม่ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และหลีกเลี่ยงชุมชน
การทำอุมเราะห์ เรียกง่ายๆ ว่า “การแสวงบุญเล็ก” ใช้เวลาประมาณ 15 วัน ต่างจากการทำ “ฮัจย์” หรือ “การแสวงบุญใหญ่” ซึ่งใช้เวลานานกว่า และกำหนดให้มุสลิมทุกคนที่มีความสามารถต้องปฏิบัติ แต่การทำอุมเราะห์นั้นไม่ได้เป็นภาคบังคับ หากมีโอกาสได้ไปและใช้เวลาอยู่ในมัสยิดฮารอมหลายวัน ก็จะยิ่งได้รับผลบุญมาก.
Discussion about this post