
ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวประมงเรือเล็กชายฝั่งอวนจับปูแหลมรุ่งเรือง-แหลมเจริญ ต.ปากน้ำ อ.เมืองระยอง ได้ถ่ายคลิปและภาพนิ่ง ขณะนำเรืออกไปจับสัตว์น้ำกลางทะเล โดยพบว่าขณะกู้อวนดักปูมีครา
จากกรณีพบน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล หรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุด จ.ระยอง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 20 กิโลเมตร เมื่อเวลา 21.06 น. ของวันที่ 25 ม.ค. ซึ่งทุกภาคส่วนกำลังเร่งช่วยกันแก้ไข ล่าสุดคราบน้ำมันถูกคลื่นซุดประชิดชายหาดห่างฝั่งเพียงอีก 4 กม. เจ้าหน้าที่นำบีชบูม ยาวกว่า 350 เมตร ตามแนวชายหาดข้างท่าเทียบเรือ ไออาร์พีซี ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อกันคราบน้ำมันทะลักเข้าสู่ชายหาดตามที่เสนอข่าวไป
เกี่ยวกับความคิบหน้าเรื่องดังกล่าวเมื่อเวลา 9.00 น.วันที่ 28 ม.ค.นายภุชงค์ สฤษฏีชัยกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่1 กล่าวว่า จากการตรวจสอบ
กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ใช้ภาพจากดาวเทียม TerraSAR-X ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 เวลา 18.23 น. เพื่อติดตามคราบน้ำมันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบคราบน้ำมันลอยแผ่เป็นบริเวณกว้างกว่าเดิม คิดเป็นพื้นที่ 47 ตารางกิโลเมตร (29,506 ไร่) หรือกว่า 9 เท่าของเกาะเสม็ด และมีทิศทางเคลื่อนที่ไปทางทิศด้านตะวันออกเฉียงเหนือ (จากจุดเดิม) ซึ่งคราบน้ำมันดังกล่าวอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลของอำเภอเมืองระยอง ประมาณ 6.5 กิโลเมตร และห่างจากเกาะเสม็ด ประมาณ 12 กิโลเมตร และคาดว่าคราบน้ำมันจะขึ้นฝั่งในวันนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายฝั่งเมืองระยอง ชายหาดแม่รำพึง และพื้นที่ชายหาดใกล้เคียง จึงได้รายงานให้กับ นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรธรรมชาติและชายฝั่ง และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทราบเรื่อง เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขต่อไป
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปบริเวณชายหาดข้างท่าเรือไออาร์พีซี บริเวณที่มีการวางบีชบูมสกัดคราบน้ำมัน ปรากฎว่าคราบน้ำมันยังมาไม่ถึง คาดยังอยู่ห่างจากชายฝั่งประมาณ 3-4 กิโลเมตร เช่นเดียวกับบริเวณชายหาดแม่รำพึง ที่มีเจ้าหน้าที่คอยสังเกตการณ์อยู่ ก็ยังไม่มีคราบน้ำมันลอยเข้ามา
ด้านพ่อค้าแม่ค้าริมชายหาดต่างก็ตื่นตระหนก จนแทบไม่กบ้าสั่งสินค้ามาลงขาย เพราะส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเลสด เพราะต่างก็วิตกว่าน้ำมันจะเข้ามาวันนี้ พร้อมฝากทุกภาคส่วนเร่งสกัดคราบน้ำมัน ไม่เช่นพังพินาศกันหมด
ต่อมาเวลา 10.00 น. ที่บริเวณริมชาย หาดแม่รำพึง ตรงบริเวณลานหินขาว หมู่1 ต.เพ อ.เมือง จ.ระยอง ได้มีพนักงานบริษัทสตาร์ปิโตรเลียม ไฟน์นิ่ง จำกัด ได้นำพนักงานและผู้รับเหมา ประมาณ 200 คน มาทำความสะอาดเก็บขยะริมชายหาดทะเล พร้อมตั้งเต็นท์วอลรูมบัญชาการ และวาดแผนที่จำลองเหตุการณ์ที่คาดว่าน้ำมันจะไหลเข้ามาบริเวณชายหาด การกักเก็บคราบน้ำมัน โดยนำบูมมากักเก็บคราบน้ำมันยาวหลายกิโล เพื่อป้องกันคราบน้ำมันจะไหลเข้าสู่ชายหาดทะเล
ต่อมาได้มีนางพรศรี สุทธนารักษ์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมด้วย นายธเนศ มั่นน้อย ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยา กรทางทะเลและชายฝั่งที่2 (ชลบุรี) ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีกิจการพิเศษ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง บางเขน มหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ และ นายธวัช เจนการ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า – หมู่เกาะเสม็ด ปลัดเทศบาลตำบลเพ เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยา กรทางทะเลและชายฝั่งที่1 (ระยอง) เข้ามาร่วมสังเกตการณ์พร้อมให้การสนับสนุนใช้เรือลากจูงบูมไปกลางทะเล จากนั้นได้นั่งเรือพยูนของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อไปดูจัดบริเวณที่คราบน้ำมันที่คาดว่าน่าจะไหลเข้าสู่ชาย หาดทะเลและยังเดินทางไปดูจุดบริเวณที่เกิดเหตุการรั่วไหลน้ำมันดิบ ซึ่งห่างชายฝั่งประมาณ 20 ไมล์ทะเล

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีกิจการพิเศษ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง บางเขน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบการไหลของคราบน้ำมันจากดาวเทียม Terra SAR-X จากโดรน และเฮลิคอปเตอร์จากหน่วยงานต่างๆ ข้อมูลล่าสุดที่เราทราบคือน้ำมันเข้ามาใกล้ฝั่งมาก แบ่งเป็น 2 ย่อม ย่อมแรกเป็นย่อมเล็กจะไปทางใกล้บริษัทไออาร์พีซีมากกว่า บริเวณท่าเรือ ขณะที่ย่อมใหญ่กำลังทยอยไหลตามเข้ามา และขึ้นอยู่กับสภาพของท้องทะเล ซึ่งทะเล ณ ตอนนี้ลมค่อนข้างนิ่ง น้ำยังเรียบอยู่ แต่ในช่วงบ่ายของวันนี้น้ำและลมจะเริ่มแรงขึ้น ซึ่งครั้งนี้จะเชื่อได้ว่าน้ำมันก้อนใหญ่ที่จะไหลเข้ามาจะเคลื่อนที่ไปทางตะวันออก และเฉียง และพื้นที่ต้องเฝ้าระวังสูงสุด ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือบริเวณหัวโค้งเลยบริษัทไออาร์พีซี ยาวไปถึงก้นอ่าวไปทางบ้านเพ ความยาวประมาณ10 กิโลเมตร ขณะที่อีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นพื้นที่สีส้ม จะอยู่ในพื้นที่ของเกาะเสม็ด บ้านเพ ซึ่งพื้นที่ตรงนี้จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้แล้วแต่สภาพอากาศ ลักษณะจะแตกต่างจากปี 2556 อย่างเห็นได้ชัด ช่วงที่เกิดเหตุนั้นเป็นช่วงที่ลมแรงกว่านี้เยอะ การกั้นในทะเลซึ่งทำได้ยาก ทำให้คราบน้ำมันนั้นเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งไหลเข้ามารวมกันอยู่ในพื้นที่อ่าวพร้าวเกาะเสม็ดเท่านั้น ซึ่งอ่าวพร้าวยาวประมาณ 400เมตร ซึ่งทำให้คราบน้ำมันนั้นรวมตัวกันอยู่ในอ่าว ซึ่งจะทำให้มองเห็นทะเลเป็นพื้นที่สีดำมืด เป็นทะเลน้ำมัน ซึ่งเกิดในช่วงตุลาคม แต่เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดในช่วงมกราคม ซึ่งมันแตกต่างกันอย่างชัดเจน ลมในครั้งนี้จะเบากว่า ซึ่งเรามีเวลากักเก็บน้ำมันในทะเล 2-3 วัน เพราะฉะนั้นหย่อมน้ำมันจะกระ
จายตัวมากกว่า จะกระจายเป็นจุดๆ จะไม่เข้ามาเป็นลักษณะดำมืด หรือ เป็นทะเลดำ ที่เดียวเหมือนกับที่อ่าวพร้าวที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว พื้นที่เฝ้าระวังค่อนข้างกว้าง การทำงานในทะเลและข้อมูลจากดาวเทียม GISTDA พื้นที่ของแพน้ำมันประมาณ47กิโลเมตร เป็นฟิล์มบางๆ ในพื้นที่ด้านนอกยังสามารถกำจัดคราบน้ำมันได้ด้วยวิธีการที่กำจัดมาแล้ว2วัน คือการฉีดน้ำยา ทั้งการใช้บูม และ น้ำยา การที่ใช้สารเคมีนั้นต้องใช้ในพื้นที่ที่มีน้ำลึกด้านนอก ซึ่งไม่ใช้ในพื้นที่ที่ใกล้ฝั่ง อีกส่วนหนึ่งต้องรอรับในส่วนด้านในซึ่งเราต้องใช้บูมในการกั้นชายหาด ซึ่งต้องกั้นในส่วนที่พิจารณาแล้ว คาดว่าคราวน้ำมันจะมาบริเวณชายหาด ถ้าตรงไหนเข้าเยอะต้องใช้ในการซับน้ำมัน และกระจายคนในการเข้าไปจำกัดป้องกันชายหาด
ในส่วนคณะประมงเราได้เก็บตัวอย่างพื้นทรายในทะเลก่อนเกิดเหตุที่จะมีคราบน้ำมันมาถึง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ไปเก็บมา2วันแล้ว ซึ่งเรามีข้อมูลต่างๆแล้ว และชายหาดเราก็ดำเนินการเก็บตัวอย่างเหมือนกัน ซึ่งบริเวณหาดแม่รำพึงนี้มีหอยเสียบเป็นจำนวนมาก ซึ่งคณะประมงได้เก็บตัวอย่างหลายจุดแล้ว และจะไปประมวลผลว่ามีผลกระทบอย่างไรหลักจากมีครางน้ำมันเข้ามา ซึ่งสารเคมีจะสะสมไปในพื้นทรายหรือปะการัง 2-3ปี ต้องศึกษาเป็นระยะยาวต่อไป
ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวประมงเรือเล็กชายฝั่งอวนจับปูแหลมรุ่งเรือง-แหลมเจริญ ต.ปากน้ำ อ.เมืองระยอง ได้ถ่ายคลิปและภาพนิ่ง ขณะนำเรืออกไปจับสัตว์น้ำกลางทะเล โดยพบว่าขณะกู้อวนดักปูมีคราบน้ำมันจับตัวลอยอยู่เหนือน้ำทะเลเห็นเป็นวงกว้างทั่วท้องทะเลโดยล้อมรอบเรือประมง ส่งกลิ่นเหม็นทั่วบริเวณ ก่อนที่ชาวประมงจะกู้อวนจับปู พบคราบน้ำติดตามอวนจนเปลี่ยนเป็นสีแดง และคราบน้ำมันติดตามปูที่จับขึ้นมาจำนวนมากด้วย จึงนำเรือเข้าฝั่ง เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมพบเป็นคราบน้ำมันจริง ไม่ใช่ตะกอนของทะเล
นายละม่อม บุญยงค์ ประธานกลุ่มประมงปากน้ำบ้านเรา กล่าวว่า ผลกระทบการน้ำมันรั่วครั้งที่แล้ว ผ่านมา 10 ปีแล้วผลกระทบก็ยังคงอยู่ แล้วมาเกิดซ้ำสองอีก ขณะนี้ชาวบ้านกลัวน้ำมันรั่ว และสารเคมทีฉีดสลายคราบน้ำ จะลงไปทำลายสัตว์น้ำที่หากินอยู่ ถ้าชาวบ้านไม่มีสัตว์น้ำให้หากินถามว่าใครจะรับผิดชอบ ใครจะช่วย และจะอยู่กันได้อย่างไร ผลกระทบการรั่วไหลครั้งนี้ที่พบเริ่มเห็น คือช่วงเช้าที่ผ่านมามีชาวประมงออกเรือไปกู้อวนจับปูพบคราบน้ำมันติดตามอวนจำนวนมาก สัตว์น้ำจับมาก็ไม่กล้าเอามาขายและเอามาประกอบเป็นอาหาร เสียหายทั้งหมดต้องทิ้ง นอกจากนี้ยังพบชาวประมงที่ออกเรือไปกู้อวนปู ทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว กระทั่งเกิดเวียนหัวจนอาเจียนออกมาด้วย ทั้งนี้โรงงานควรจะทำอย่างไร บทเรียนก็มีมาแล้ว ท่อน้ำมัน หรืออุปกรณ์ที่ชำรุดควรจะต้องมีการเปลี่ยนหรือได้รับการใส่ใจซ่อมแซม เพื่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลจนส่งผลกระทบในวงกว้างดังกล่าว.
Discussion about this post