ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราช ภัฏสุรินทร์ จ.สุรินทร์ ภาคประชาสังคม นำโดย เครือข่ายสมัชชาคนจน 72 องค์กร ร่วมกับเครือข่ายองค์กรภาคีคนจน เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน เครือข่ายนักวิชาการและสื่อมวลชน ฯลฯ เดินหน้าโครงการเวทีสัญจร“พรรคการเมืองฟังเสียงคนจน”ครั้งที่ 2 :“สิทธิเกษตรกร สินค้าราคาแพง ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรสูง ราคาผลิตผลทางการเกษตรตกต่ำ การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร” เพื่อรณรงค์ในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่และร่างเป็นนโยบายพรรคการเมือง
โดยที่ประชุมแต่ละกลุ่มสะท้อนความเดือดร้อนของกลุ่มตัวเองให้ตัวแทนพรรคการเมือง 7 พรรค ซึ่งมี พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชาติ และตัวแทนจากพรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเพื่อไทย พรรคสามัญชน และพรรคเสรีรวมไทย ได้รับทราบ เพื่อนำไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือกำหนดเป็นนโยบายพรรค พร้อมทั้งให้ตัวแทนพรรคการเมืองมาร่วมแสดงความคิดเห็น
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชาติ กล่าวถึงในเวทีเสวนาว่า ต้องยอมรับว่า อาชีพเกษตร กรคือยุ้งฉางของแผ่นดิน ที่ดินก็คือเงินของประชาชน ถ้าเราหว่านเมล็ดพันธุ์พืชไปในที่ดิน สิ่งที่งอกงามมาก็คือผลผลิต เป็นอาหารมาเลี้ยงสังคม สังคมใดไม่มีอาชีพเกษตรกรสังคมนั้นจะอยู่ลำบาก แต่วันนี้เป็นความโชคร้ายของประชาชนที่เป็นเกษตร กร รัฐธรรมนูญในอดีตพูดถึงเกษตร กรว่า รัฐจะต้องพยายามรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกร ให้เกษตรกรมีการผลิต มีตลาดและขายในราคาที่ตอบแทนสูงสุด
แต่พอมาถึงรัฐธรรมนูญปี 60 ซึ่งผมคิดว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เกลียดชังเกษตรกร เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ระบุว่า เกษตรกรให้มีการผลิตมีการแข่งขันและสามารถแข่งขันได้ในราคาตลาด คำว่า ตลาด ตลาดเป็นของนายทุน ตลาดยิ่งถูกยิ่งดี คือเกษตรกรผลิตมาเมื่อไปขายในราคาตลาดอย่าหวังเลยว่า จะมีกำไร

พ.ต.อ.ทวี กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญปี 2517 เป็นรัฐธรรมนูญที่ในความเห็นผมคือดีที่สุดฉบับหนึ่ง เขียนไว้ว่า คนที่เป็นเกษตรกร คุณต้องมีกรรมสิทธิ์และมีสิทธิในที่ดิน แต่รัฐธรรมนูญปี 60 เกษตรกรคุณต้องยากไร้ก่อน คุณต้องยากจนก่อน คุณต้องมาแสดงตัวโดยให้ข้าราชการมาทำความสงสารทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แล้วก็ไปปฏิรูปที่ดินให้ จนถึงวันนี้ที่ดินก็ไปอยู่กับคนรวยหมด ดังนั้นเราต้องกล้าเอาที่ดินเป็นรัฐสวัสดิการ
ผมคิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่ต้องกล้าเอาสิทธิชุมชนขึ้นมา ต้องเลิกรัฐรวมศูนย์แล้วต้องกระจายอำนาจเรื่องที่ดิน ป่าไม้ ทุกกฎหมายไปสู่ชุมชนท้องถิ่นให้ได้ เรื่องที่ดินวันนี้มีปัญหาความเหลื่อมล้ำของที่ดินมาก วิธีแก้ไขท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นต้องแก้รัฐธรรมนูญให้ที่ดินเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เหมือนสิทธิการศึกษา
ส่วนปัญหาเรื่องน้ำที่เกษตรกรต้องมีนำใช้ในการเกษตร วันนี้น้ำกลับเป็นเครื่องมือของการคอรัปชั่น แทนที่จะปล่อยให้ชุมชนท้องถิ่นเขาจัดการ กลับไปสร้างสำนักบริหารน้ำ สร้างตึกสร้างอาคารเอาเงินทอน อันนี้เป็นความเลวร้ายที่สุด ประชาชนไม่ได้อยู่รับใช้รัฐบาล รัฐบาลเท่านั้นต้องอยู่รับใช้ประชาชน แค่นี้จะแก้ปัญหาได้
พ.ต.อ.ทวี กล่าวอีกว่า ความเหลื่อมล้ำของเกษตรกรเป็นที่น่าอเนจอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง บอกว่าเกษตรกรเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ทำเกษตรกรเพื่อเลี้ยงคนทั้งประเทศแต่มาวันนี้เกษตรกรกลายเป็นกลุ่มที่จนที่สุด แต่นายทุนกลุ่มนักธุรกิจที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรกลับเป็นบุคคลที่รวยที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมาอยู่ในกลุ่มเดียวกันระหว่างรวยที่สุดและจนที่สุด

เรื่องของเกษตรกร เรื่องของที่ดิน นอกจากวางฐานในรัฐธรรมนูญแล้วก็ต้องเร่งแก้กฎหมายเกือบทุกฉบับเกี่ยวกับกฎหมายที่ดินป่าไม้ เช่น พ.ร.บ.อุทยาน และ พ.ร.บ.ต่างๆ เราเห็นว่า มะเร็งร้ายของเรื่องที่ดินคือมาตรา 61 ที่ให้อำนาจของอธิบดีกรมที่ดินที่อำนาจล้นฟ้า เวลาของนายทุนบอกให้เพิกถอนไม่เพิกถอน แต่เวลาของประชาชนหลักฐานนิดเดียวก็เพิกถอน อันนี้คือเรื่องใหญ่มากที่จะแก้ประมวลกฎหมายที่ดิน
เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวอีกว่า ในเรื่องความยากจน สิ่งที่จะแก้อันดับแรกต้องมีรัฐสวัสดิการ พรรคประชาชาติรวมถึงพรรคก้าวไกลด้วย เราได้เสนอ พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ 3,000 บาทมาตั้งแต่ปี 63 แต่นายกรัฐมนตรีตีตกบอกว่าเป็น พ.ร.บ.การเงิน พอวันนี้จะมาหาเสียงเลือกตั้งทุกพรรคก็บอก 3,000 บาท เราเห็นว่า สวัสดิการเป็นสิทธิต้องเสมอกัน ไม่ใช่เป็นการสงเคราะห์หรือการเมตตา คุณจะรวยที่สุดก็ได้ 100 นี่คือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะเราเห็นว่า ความยากจนวันนี้ต้องเดินไปที่รัฐสวัสดิการ
ความยากจนของเกษตร ส่วนหนึ่งดูแค่การขนส่งมวลชน วันนี้เกษตรกรใช้ก็ขนส่งมวลชน แต่รัฐบาลไปพัฒนาท่าอากาศยานซึ่งบางแห่งไม่เคยใช้เลย จะผลักค่าใช้จ่ายให้เกษตรกรไปขึ้นเครื่องบินหรือ เป็นการผลักภาระให้จนทั้งที่เป็นสิทธิ เพราะเกษตรกรคือเสียงที่ไม่มีเสียง ถึงเวลาแล้วที่เราต้องตื่นรู้และเมื่อประชาชนตื่นรู้รัฐบาลต้องอยู่ไม่ได้.
Discussion about this post