
ทางด้าน พล.ต.ต.ตานิตย์ รามดิษฐ์ ผบก.ภ.จว.พัทลุง เผยว่า จากเหตุร้ายดังกล่าวนั้น ขณะที่ตำรวจได้รู้ชื่อกลุ่มผู้ต้องสงสัยแล้ว 4 ราย ในส่วนของรถยนต์ที่ใช้ในการกระทำ ความผิดอีก 1 คันก็รู้แล้วเช่นกัน (ผู้ก่อเหตุรวม 5 คน รถยนต์ 2 คัน มอบตัวแล้ว 1 ราย) ส่วนกลุ่มผู้ก่อเหตุนั้นเป็นคนกลุ่มวัยรุ่นคึกคะนองในพื้นที่ อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง แต่บางส่วนไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ จ.นครศรี ธรรมราช ขณะนี้ ตร.กำลังติดตามตรวจยึดรถทั้ง 2 คัน และขยายผลการสืบสวนสอบสวนไปตรวจยึดอาวุธปืนสงคราม เอ็ม 16 ที่นำมาใช้ในการก่อเหตุแล้วเช่นกัน สำหรับการตรวจยึดอาวุธปืนสงครามนั้นหลังจากที่ตนมารับตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.พัทลุงได้ตรวจยึดมาแล้วมาถึง 17 กระบอก พร้อมด้วยกระสุนปืนอีกเป็นจำนวนมาก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงรถกระบะแค๊ปสีแดงที่นำมาใช้ในการก่อเหตุเป็นรถของนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่งใน อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง หรือไม่ พล.ต.ต.ตานิตย์ฯบอกว่ากำลังอยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวน และตรวจสอบตามขั้นตอนจึงยังไม่สามารถระบุได้ ส่วนการคลี่คลายคดีนั้นได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ยศวรรธน์ กระจ่างวงศ์ ผกก.สส.ภ.จว.พัทลุง พร้อมพวก เข้ามาช่วยคลี่คลายคดีด้วย สำหรับโรงพักที่ไม่สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหากระทำความผิดในคดีอุกฉกรรจ์มาลงโทษตามกฎหมายได้มี 6 โรงพัก ล่าสุดเป็น สภ.เมืองพัทลุง ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหา 1 ราย เข้ามามอบตัวพร้อมอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุนั้นก็จะต้องมีการตรวจสอบกับปลอกกระสุนที่ ตร.ยึดได้จากที่เกิดเหตุกันต่อไปว่าเป็นอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตามเมื่อตามที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผช.ผบ.ตร.ได้มีหนัง สือสั่งการให้ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ เกตุขาว ผกก.สภ.เมืองพัทลุง พ.ต.ท. นาถพล บุญสนิท รอง ผกก.(ป.)ฯ และ พ.ต.ท.หาญพล รามด้วง รอง ผกก.(สส.)ฯ 3 เสือของ สภ.เมืองพัทลุง ขึ้นไปพบและรายงานตัวต่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ฯ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันนี้(ที่ 2) นั้น เป็นการเรียกไปว่ากล่าวตักเตือนข้อบกพร่องในการปฎิบัติหน้าที่หรือไม่ ทางด้าน พล.ต.ต.ตานิตย์ฯ เผยว่า เป็นการเรียกไปเพื่อวางมาตรการในเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามการนำอาวุธปืนสงครามมาก่อเหตุในเมือง และกำชับการปฏิบัติหน้าที่ มิได้เรียกไปทำโทษแต่อย่างใด
พล.ต.ต.ตานิตย์ฯ ตนรู้สึกเป็นห่วงและกังวลการออกใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนของ จ.พัทลุง ซึ่งขณะนี้มีมากถึงประมาณ 50,000 กระบอก ในขณะที่ จ.สตูลมีแค่ประมาณ 5,000 กระบอกเท่านั้น ซึ่งเมื่อก่อนนี้การจะอนุญาติให้มีอาวุธปืนนั้นผู้เกี่ยวข้องจะต้องมีหนังสือมายังกองทะเบียนตำรวจ เพื่อให้มีการตรวจสอบทะเบียนประวัติการมีอาวุธปืน ซึ่งหากมีประวัติการมีอาวุธปืนอยู่แล้วก็ออกให้ไม่ได้ตามมาตรา 13 และบุคคลที่จะก่อให้เกิดอันตรายแก่ประชาชนก็ห้ามอนุญาตให้มีอาวุธปืนตามมาตรา 13 เช่นกัน.
Discussion about this post