จากกรณี ที่ นายดำรงค์ พิเดช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคโอกาสไทย อดีต อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช ได้รับการร้องเรียนว่า มีการเรียกเก็บค่ารถยนต์โดยสาร 16,000 บาทต่อปี รถจยย. 1,600 บาทต่อปี แล้วยังต้องจ่ายรายเดือนอีก ใครจ่ายจะได้สติ๊กเกอร์มา1แผ่น หากไม่จ่ายก็ไม่สามารถสิ่งได้ รวมถึง การก่อสร้างในพื้นที่เกาะเสม็ด ต่างก็ต้องจ่ายเงินเพื่อแลกกับการก่อ สร้าง หาบเร่แผงลอยโดนกันถ้วนหน้า ต่อมาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เกาะเสม็ด ผู้ประกอบรถยนต์โดยสาร จำนวน60 คัน และ รถจยย.รับจ้าง ต่างก็ยืนยีนว่าจ่ายจริง เป็นเงินรวมกว่าหนึ่งล้านบาท นอกจากนี้ ผู้ประกอบการเรือโดยสาร ต่างก็เดือดร้อน เพราะมีการขึ้นค่าธรรม เนียมถึง3เท่าตัว ทั้งที่เพิ่งพ้นวิกฤตจากโควิด19 จึงเท่ากับการมาซ้ำเติมผู้ประกอบการ และยังมีการเก็บเงินค่าเข้าอุทยานฯเพิ่มจากนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปดำน้ำเกาะที่อยู่รอบเกาะเสม็ด อึกคนละ100บาท ทั้งที่อยู่ในอุทยานฯเดียวกัน จึงต้องการให้ผู้ใหญ่กรมอุทยานฯตรวจสอบด้วย ตามข่าวที่นำเสนอไปแล้ว
เกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 16 ม.ค. นายโนรี ตะถา ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้าหมู่เกาะเสม็ด ได้ กล่าวว่า ตนเองได้รับมอบหมายจาก นายชาณุ เดชธัญญนนท์ หัวหน้าอุทยานฯที่เดินทางไปศาล ว่า กรณีที่เป็นข่าว ที่ว่า มีการเรียกเก็บเงินจากรถยนต์โดย สารบนเกาะเสม็ด จำนวน 16,000 บาท ต่อปีต่อคัน ได้ตรวจสอบจากประธานชมรมแท็กซี่เกาะเสม็ด ปรากฎว่าไม่มีการเรียกเก็บเงินดังกล่าว ส่วนกรณี รถจยย.ที่ถูกพาดพิง ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ หาบเร่แผงลอย ไม่มีการเก็บ ส่วน เรื่องการเรียกเก็บเงินจากการก่อสร้างต่อเติมบนเกาะเสม็ด เพราะบางพื้นที่บนเกาะเสม็ด มีบางส่วนเป็นพื้นที่รับผิดชอบของกรมธนารักษ์ จึงต้องตรวจสอบ โดยกำลังตรวจสอบเพื่อรายงานไปยังกรม

ด้านนายยานยนต์ อรุณเวสสะเศรษฐ นายกสมาคมผู้ประกอบการเรือโดยสารบ้านเพเกาะเสม็ด ได้กล่าวว่า กรณีที่ทางอุทยานฯออกกฎ เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเรือโดยสารที่วิ่งเข้าออกเกาะเสม็ด เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว เป็นความจริง ซึ่งทุกวันนี้ทางผู้ประกอบการที่อยู่ในสมาคมฯทั้งหมด ยังไม่จ่าย เพราะมันสูงเกินไป ได้มีการทำหนังสือเพื่อขออนุเคราะห์ไปยัง ปลัด และ รมว.กระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับ เพื่อขออนุเคราะห์ให้คงอัตราเดิมไปก่อน เพราะผู้ประกอบการยังคงบอบช้ำกับวิกฤติที่ผ่านมา และ ต้องการให้เพิ่มจุดขึ้นลงเรือเพิ่มขึ้นจะได้ไม่ต้องไปแออัดอยู่บนท่าเรือหลัก นักท่องเที่ยวต้องรอกันนาน กว่าจะผ่านด่านไปได้
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปเกาะเสม็ด ได้สอบถาม น.ส.แพรว และ น.ส.สอน แม่ค้าหาบเร่แผงลอยริมชายหาด อ่าววงเดือน เกาะเสม็ด ทั้งสองได้เปิดเผยตรงกันว่า ต้องเสียเงินรายเดือนให้กับอุทยานฯ ที่เรียกเก็บเป็นค่าบำรุงสถานที่ เดือนละ 300 บาท โดยมีทั้งหมด 51 ราย นอกจากนี้ยังมีอาชีพที่ต้องจ่ายรายเดือนดังนี้ หมอนวดริมหาด ให้เช่าห่วงยาง ขายผ้า รับเพ้นท์ร่างกาย ขายของกลางคืน ซับบอร์ด เจ็ทสกี และ เรือเร็วลากร่ม
ด้านนางบรรทม เจริญผล อายุ 64 ปี เจ้าของทอมพิชซ่า อ่าววงเดือน ได้กล่าวว่า ที่นี่เรื่องสกปรกเยอะสำหรับกรณีที่เป็นข่าวเรื่องส่วยบนเกาะเสม็ด เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ใครก็รู้ เพียงแต่จ่ายกันใต้โต๊ะใครก็รู้ กรณีเรื่องรถยนต์โดยสาร ที่เสีย 16,000 บาท ซึ่งเป็นค่าดำเนินการ แล้วยังต้องเสียรายปีอีกคันละ 2,000 บาท แล้วก็ต้องจ่ายรายเดือน ส่วนการก่อสร้างต่อเติมบนเกาะเสม็ดในพื้นที่ธนารักษ์ หากใครต้องการต่อเติมก่อสร้าง ต้องขออนุญาตไปทางกรมอุทยานฯ แต่ที่ผ่านมา คือ ต้องจ่ายเงิน 10 เปอร์เซ็น จากงบประมาณก่อ สร้างทั้งหมด รับแต่เงินสด ที่ผ่านมาผู้ประกอบการรายหนึ่งได้การก่อสร้างรีสอร์ทงบประมาณกว่า 5 ล้านบาท ต้องหิ้วธนบัตรหนักครึ่งกิโลกรัมไปให้เพื่อแลกกับก่อสร้าง ซึ่งทุกวันนี้ก็สร้างกันเต็มไปหมด ถ้าไม่จ่ายจะสร้างได้ไหม แล้วมาอ้างว่าเป็นพื้นที่ของธนารักษ์อุทยานฯไม่เกี่ยว แต่เห็นเข้าจับกุมเรียกรับทุกราย ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องมีการตรวจสอบอย่างจริงจัง เพื่อล้างเกาะเสม็ดให้สะอาดเสียที ตนเองอยู่มาก่อนจะประกาศเป็นพื้นที่อุทยานฯ เห็นความหมักหมมมาตลอด เกาะเสม็ดกลายเป็นแหล่งทำเงินให้กับผู้ที่มีอำนาจ ที่เข้ามาเพียงกอบโกย เก็บทุกอย่างสารพัด โดยไม่สนว่าผู้ประกอบการจะอยู่ได้หรือไม่ กอบโกยผลประโยชน์อย่างเดียวไม่เคยสร้างความเจริญให้กับเกาะเสม็ดบ้าง แม้แต่ห้องน้ำยังไม่เพียงพอ ถนนก็เป็นงบของหน่วยงานอื่น อุทยานฯเก็บผลประโยชน์ไปแล้ว แต่กลับไม่เคยสร้างความเจริญให้เกาะเสม็ดเลย จึงต้องการให้มีการกันพื้นที่ชุมชนออกจากพื้นที่อุทยานฯ ให้ชัดเจน เพื่อจะได้ไม่เกิดการเรียกรับผลประโยชน์

ด้านผู้ประกอบการรีสอร์ท (ขอสงวนนาม) ได้เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาตนเองสุดอัดอั้นมาก เพราะต้องสูญเสียเงินไปจำนวนมาก เรื่องแรกคือเรื่องการก่อสร้างต่อเติมในพื้นที่เดิม พื้นที่กว้าง 11 เมตร ลึก 16 เมตร จำนวน 2 ชั้น ต้องจ่ายเงินให้กับอุทยานฯ ชั่นล่าง 300,000 บาท ชั้นบน 200,000 บาท รวม 500,000 บาท เพื่อแลกกับการก่อสร้างโดยไม่ถูกจับ นอก จากนี้ ทางอุทยานฯยังมาเสนอ ให้ตนเองหารถยนต์มาส่งผู้โดยสารเอง แต่ต้องเสียเงินคันละ 100,000 บาท ให้อุทยานฯแลกกับการวิ่งส่งนักท่องเที่ยวได้เอง ตนเองจึงไปออกรถมา2คัน ยอมจ่ายเงินไป 200,000 บาท ให้อุทยานฯ วิ่งได้เพียงหนึ่งเดือน ทางอุทยานฯก็สั่งหยุดวิ่ง โดยที่ไม่คืนเงินให้ สาเหตุเพราะไปเรียกเก็บเงินจากค่ารถยนต์โดยสารคันละ 16,000 บาท ตามที่เป็นข่าว ซึ่งได้จำนวนที่มากกว่า จึงไม่สามารถให้วิ่งต่อไปได้ แต่แปลกใจทำไมจึงไม่คืนเงิน นอกจากนี้ลูกน้องแค่ถือไม้กวาดไปกวาดหญ้ากวาดถนน กลับถูกจับดำเนินคดี และ มีการรอประมาณ 11 ชม.เพื่อให้เคลัยร์เงินจำนวน 200,000 บาท เพื่อแลกไม่ดำเนินคดี แต่ทางตนเองไม่มีเงินจ่ายแล้ว จึงให้ดำเนินคดีไป นับเป็นความเลวร้ายมาก กับผู้ประกอบการลนเกาะเสม็ด ต่างต้องทนทุกข์กับความเลวร้ายที่เกิดขึ้น โดยที่ไม่รู้จะไปพึ่งใคร แข็งขืนก็ทำไม่ได้ ยอมมากไปก็จ่ายไม่ไหว เหนื่อยมาก จึงต้อง
ก รให้มีการตรวจสอบเพื่อทำ ความสะอาดเกาะเสม็ดเสียใหม่ ให้เกิดความโปร่งใส
ส่วนผู้ประกอบการรถยนต์โดย สาร และ รถจยย.เช่า ต่างก็ยังคงยืนยันว่าเป็นความจริง แต่ไม่กล้าเปิดเผยตัว เพราะกลัวจะถูกกลั่นแกล้ง เพราะทุกคนยังต้องประ กอบอาชีพบนเกาะเสม็ด แต่ต่างก็ต้องการให้มีการตรวจสอบ เพื่อล้างให้ส่วยหมดไปจากเกาะเสม็ด.
Discussion about this post