เมื่อเวลา15.00 น.วันที่ 17 ก.พ.66 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี ถ.สนามบินน้ำ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พร้อมทีมงาน และ น.ส.วบุณยวีร์ ลุมาเกมลพันธ์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนนทบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนนทบุรีเดินทางเข้าพบ พล.ต.ต. ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จว. นนทบุรี น.ส.ระวีพรรณ แก้วเพียงเพ็ญ รองผจว.นนทบุรี เพื่อให้ติด ตามคดี ความคืบหน้า กรณีแม่ร้องมูลนิธิปวีณา หงสกุล ว่าตนทำงานอยู่ประเทศเยอรมัน ได้ฝากเลี้ยงดูบุตรชายชื่อน้องแซม(นามสมมุติ) อายุ 29 ปี เป็นผู้พิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้ประเภท5ประเภท6 แต่ถูกสถานที่ที่รับดูแลทำร้ายร่างกายจนเด็กหวาดกลัว
โดยมารดาที่อยู่ต่างประเทศได้จ่ายค่าเลี้ยงดูน้องให้เดือนละ 3.5 หมื่นบาท น้องแซม กลับถูกทำร้ายร่างกาย ที่ดวงตามีรอยเขียวช้ำ มีร่องรอยคล้ายบาดแผลจากของมีคมจิ้มแทงบริเวณหน้าอก มีรอยใช้ของแข็งทุบมือ และมีรอยไหม้ผิวหนังพุพองที่แขน ให้กินข้าวไข่เจียว ข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จนทุกวันนี้บุตรชายมีอาการหวาดผวา มีอาการต่อต้านครอบครัว โดยต้องการเอาตัวกลุ่มผู้ทำร้ายร่างกาย ทารุณกรรมเด็กให้ถึงที่สุดตามกฎหมาย
ทั้งนี้ทางข้อมูลในเชิงลึกทราบว่าภายในบ้านทาวเฮาว์หลังดังกล่าวบ้านเลขที่ 159/34 หมู่บ้านทิพย์พิมานริมน้ำ ม.6 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ได้เปิดเป็นสถานที่รับเลี้ยงดูแลผู้พิการทางสมองและสติปัญญา ยังมีผู้พิการอยู่ในความดูแลของสถานที่ดังกล่าวอีกจำนวน 8ราย อายุระหว่าง 15-29ปี มีทั้งชาย-หญิง โดยยังไม่ทราบว่าสถานที่ดังกล่าวมีใบอนุญาตมีการอบรม หรือผู้ดูแลมีใบอนุญาตวิชาชีพพยาบาล เป็นสถานรับเลี้ยงดู ผู้พิการอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
ขณะที่ นางแหม่ม มารดา (นามสมมุติ) กล่าวว่า ปัจจุบันตนอยู่กับสามีและทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ช่วงเดือนก.ค.65 ได้กลับมาเยี่ยมบ้านที่จ.อุบลราช ธานี นายเม่น ลูกชายที่อาศัยอยู่กับยายและหลานของตน บอกว่าอยากไปโรงเรียน และอยากทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ซึ่งตนก็ตามใจลูกเพราะคิดเราก็อายุมากคงดูแลลูกไม่ได้ตลอด จากนั้นได้ติดต่อหาโรงเรียนสำหรับดูแลผู้พิการทางสมองหรือพัฒนาการช้า แต่ครูแนะนำว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้วถ้ามาเรียนกับเด็กๆ อาจจะเกิดความแตกต่างและอึดอัด จึงได้แนะนำสถานที่รับดูแลผู้พิการทางทางสมองแห่งหนึ่งย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี แม่จึงได้ติดต่อและพาบุตรชายไปที่สถานที่ดังกล่าว

โดยสถานที่พบเป็นบ้าน 2 ชั้น อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจ.นนทบุรี มีครูพี่เลี้ยง 5 คน ดูแลเด็กพิเศษผู้พิการทาสมองและการเรียนรู้ ที่มีทั้งอยู่ประจำและไปกลับ ซึ่งครูที่เป็นเจ้าของแจ้งค่าใช้จ่ายเดือนละ 30,000-35,000 บาท ในการอยู่ประจำ และบอกว่าจะสอนให้ช่วยเหลือตัวเองได้ มีกิจกรรมให้ทำ พาไปเที่ยวบ้าง และจะไม่ให้เด็กใช้มือถือในช่วงแรก โดยผู้ปกครองจะต้องติดต่อผ่านครู เพราะกลัวเด็กจะไม่เชื่อฟัง จากนั้นแม่ก็ตกลงจะฝากลูกไว้ที่นั่น โดยพาลูกไปส่งวันที่ 18 ก.ค.65 พร้อมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว และยาประจำตัวที่แพทย์ให้กินทุกวัน จากนั้นแม่ได้เดินทางกลับประเทศเยอรมัน ช่วง 2 เดือนแรก ครูได้ส่งรูปลูกชายเวลาทำกิจกรรมวาดรูป ทานอาหาร ไปทานเคเอฟซี มาให้แม่ดูก็ว่าลูกคงมีความสุข และครูยังบอกอีกว่า ลูกไม่ได้กินยาต่อเนื่องแล้ว โดยอ้างว่าพาไปอาจารย์หมอ บอกว่าลูกชายเป็นปกติไม่ต้องกินยาแล้ว
ต่อมาเดือนพ.ย.65 แม่สังเกตเห็นในรูปลูกชายซูบผอม มีร่อยรอยที่ดวงตา ใบหน้า และที่แขน ครูก็อ้างว่าลูกเดินชนก๊อกน้ำ ทีแรกแม่ก็ไม่คิดอะไรแต่พอผ่านไปร่องรอยที่ใบหน้าและตามตัวก็ยังไม่หาย วันที่ 30 พ.ย.65 จึงให้น้องสาวบินจากมาจากเยอรมันกลับไทยเพื่อมาเยี่ยมหลาน เมื่อมาถึงที่บ้านหลังดังกล่าว ครูอ้างว่าให้น้าเข้าพบเด็กไม่ได้เพราะต้องระวังเรื่องโควิด ทั้งที่น้องสาวก็ได้ตรวจเอทีเคและนำผลตรวจมาแสดง จึงทำได้เพียงแค่คุยกับหลานผ่านวีดีโอคอล ซึ่งน้าก็สงสารหลานมาก เพราะเห็นมีสภาพซูบผอมและร้องไห้ตลอดเวลาระหว่างคุยวิดีโอคอล
น้องสาวมาเล่าให้ตนฟังจึงตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินกลับไทยในวันที่ 23 ธ.ค.65 และแชตคุยบอกครูว่าจะไปรับทันทีที่มาถึงเพื่อกลับบ้านจ.อุบลราชธานี ไปเที่ยวช่วงปีใหม่ แต่ครูก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าครูมีโปรแกรมจะพาเด็กๆ ไปเที่ยว แม่เห็นผิดสังเกตจึงให้คนรู้จักไปดูที่บ้านก็พบว่าทุกคนยังอยู่ในบ้านไม่มีการพาเด็กไปเที่ยวแต่อย่างใด จากนั้นแม่ก็ได้แจ้งครูขอให้คนรู้จักรับเด็กกลับที่จ.อุบลราชธานี ทันที ต่อมาแม่กลับถึงไทยได้พบลูกชายในสภาพซูบผอม จมูกผิดรูป มีร่องรอยคล้ายถูกทำร้าย ที่ใบหน้าและแขน มีรอยถูกแทงที่หน้าอกซ้าย และมือบวมทั้ง 2 ข้าง เวลานอนลูกมีอาการหวาดผวา แม่ต้องใช้เวลาหลายวันจนกว่าลูกจะบอกว่าถูกครู 3 คน ทำร้าย โดยครูผู้หญิงใช้ไม้เรียวตีเวลาโมโห และลูกยังบอกอีกว่า มีวันหนึ่งลูกชายทำพริกป่นหกพื้น ครูชายคนที่ 1 มาเห็นจึงเอาพริกป่นยัดใส่ปาก และใช้สากกะเบือตีมือจนมือบวมปวดมาก และอีกวันครูชายคนที่ 2 หาว่าลูกชายไปหยิบขนมเพื่อนกินจึงเอามีดปอกผลไม้แทงที่หน้าอกซึ่งตอนนี้ยังมีแผลเป็นอยู่
นางแหม่ม กล่าวอีกว่า วันที่ 28 ธ.ค.65 แม่ได้พาลูกไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.อุบล ราชธานี แพทย์พบว่าเด็กมีอาการก้าวร้าว หวาดผวา จึงต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลวันที่ 28 ธ.ค.65 ถึงวันที่ 18 ม.ค. รวม 21 วัน เพราะต้องดูอาการและปรับยา เนื่องจากขาดยามาเป็นเวลานาน แม่เสียใจมากที่ลูกต้องเจอเรื่องแบบนี้ ลูกอยู่อย่างทนทุกข์ถูกทำร้าย นอกจากนี้ลูกยังบอกว่าเวลาอยู่ที่บ้านครูส่วนใหญ่ก็จะกินแต่ข้าวไข่เจียว และข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

“แม่ต้องการจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดที่เขาทำกับลูกแม่ ไม่รู้ว่าเด็กคนอื่นๆ ที่อยู่ในบ้านหลังนี้ จะถูกกระทำแบบลูกแม่หรือไม่ เพราะทางบ้านจะกีดกันไม่ให้ผู้ปกครองเด็กรู้จักพูดคุยกันเลย และก็จะไม่ให้คุยกับเด็กๆ ที่อยู่ที่นั่นด้วย ซึ่งเขาอ้างว่าเดี๋ยวเด็กจะไม่เชื่อฟังครู แม่อยากให้มีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบว่าสถานที่ดังกล่าวเปิดถูกต้องหรือไม่ ครูที่ดูแลมีใบอนุญาตหรือไม่ และขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือติดตามคดีให้ด้วย” ด้าน นางปวีณา กล่าวว่า วันนี้ได้มาติดตามเรื่องกับทาง พล.ต.ต. ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จว. นนทบุรี ถึงความคืบหน้า
น.ส.ระวีพรรณ แก้วเพียงเพ็ญ รองผจว.นนทบุรี กล่าวว่า ทางด้านผู้ว่าราชการจ.นนทบุรี รับทราบเรื่องดังกล่าวขณะนี้อยู่ระหว่างประ สานทางนายอำเภอบางบัวทองเข้าตรวจสอบว่าสถานรับเลี้ยงเด็กดังกล่าวได้ว่ามีผู้ดูแลกี่คน และรวมถึงตรวจสอบว่ามีการกระทำแบบนี้กับใครอีกหรือเปล่า
ขณะที่ พ.ต.อ.จักริน พันธ์ทอง รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี กล่าวว่า ในทางคดีทางสภบางบัวทองได้รับเรื่อง ร้องทุกข์เรียบร้อยแล้วและได้รวบรวมพยานหลักฐาน ในส่วนของรายงานผู้บาดเจ็บได้มาส่วนหนึ่งแล้ว จะเหลือเพียงคำให้การของแพทย์ซึ่งเป็นผู้ตรวจ ซึ่ง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ ตำรวจสอบ สวน สภ.บางบัวทอง จะเดินทางไปที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อไปดำเนินการด้วยตัวเอง หลังจากได้ข้อมูลแล้วจะเข้ากระบวนการพิจารณา พยานหลัก ซึ่งในส่วนนี้ขออนุญาตนำเรียนท่านปวีณาและคุณแม่ว่า เนื่องจากเป็นเอกสารของทางราชการ มันจะต้องนำสู่กระบวนการชั้นอัยการและชั้นศาล ต่อไป ต้องขอสงวนไว้และขอคุยกับคุณแม่อีกที ตอนนี้พูดได้เท่านี้ว่า ขณะนี้ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมไว้พอสมควรแล้ว.
Discussion about this post