
วันที่ 28 ก.ค. 2566 จากกรณีเพจ Social Hunter Reborn V3 โพสต์ภาพพร้อมระบุข้อความว่า “เหตุเกิดที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.บาง บัวทอง จ.นนทบุรี สาวรายนึงถูกเครื่องบินบังคับไร้สายพุ่งชนนิ้ว 2 ข้าง จนหัก แต่คู่กรณีไม่รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล โดยอ้างว่ามีญาติเป็นตำรวจ และบอกกับผู้เสียหายว่า ถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องเอาเอง” เหตุเกิดวันที่ 12 ก.ค. 66 เวลาประมาณ 18.00 น. แจ้งความไว้ที่สภ.บางบัวทอง
ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านของ น.ส.ปภาสิตา หรือ ฟิล์ม อินถา อายุ 35 ปี ลูกสาวของนาย ชัยวัฒน์ (เจ้าของเครื่องบิน) อายุ 65 ปี และสามี(ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกคู่กรณีอ้างว่าเป็นประธาน กต.ตร.และใช้ข่มขู่ว่ารู้จักกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ในวันที่เกิดเหตุ โดย น.ส.ฟิล์ม เล่าว่า เหตุการณ์เกิดเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 12 ก.ค.66 โดยทางพ่อของตนได้ออกไปเล่นเครื่องบินบังคับซึ่งเป็นเครื่องบินไฟฟ้ากับกลุ่มเพื่อนๆ ซึ่งปกติแล้วพ่อจะไปเล่นสนามแถวๆไทรม้า แต่ที่เกิดเหตุครั้งนี้คุณพ่อเพิ่งไปครั้งแรก ขณะเกิดเหตุคู่กรณีนั่งอยู่ท้ายรถกระบะที่จอดอยู่ตรงทางที่เครื่องบินใช้ขึ้นลง ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไปนั่งตรงนั้น แต่พอเกิดเรื่องพ่อของตนก็ยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง ทางคู่กรณีอยากรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนพ่อของตนก็ยินดีจ่ายค่ารักษาให้ โดยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด 17,179 บาท ตอนอยู่โรงพยาบาลพ่อของตนก็ได้ถามแล้วว่าจะเรียกค่าเสียหายอะไรเพิ่มไหม แต่ทางคู่กรณีบอกว่าไม่เรียกอะไรจนกระทั่ง เมื่อวันที่ 14 ก.ค.66 เวลา 19.30 น.ทางคู่กรณีได้เดินทางเข้าแจ้งความพร้อมกับสามีซึ่งเป็นอดีตตำรวจ สวป.โดยมีการเรียกค่าเสียหายจำนวน 10,000 บาท แต่ทางตนเห็นว่ามันดึกแล้วพ่อของตนก็เดินทางไม่สะดวกเพราะไกลจากที่บ้าน สามีของตนที่เป็นประธาน กต.ตร จริง จึงโทรหาร้อยเวรเพื่อที่จะขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำเป็นเช้าของวันถัดไปเพียงแค่นั้น ไม่ได้ใช้อำนาจหรือเบ่งว่ารู้จักตำรวจตามที่คู่กรณีกล่าวอ้างแต่อย่างใด
ต่อมา วันที่ 15 ก.ค.66 เวลา 10.00 น.ตนและครอบครัวจึงเดินทางไปที่ สภ.บางบัวทองเพื่อนัดเจรจาไกล่เกลี่ยเรื่องค่าเสียหาย ยอมรับว่ามีปากเสียงกันจริงเพราะตนโมโห ว่าทำไมตอนที่พ่อพาไปรักษาที่ รพ.แล้ว คู่กรณีเป็นคนบอกเองว่าไม่ติดใจหรือเรียกค่าเสียหายอะไรเพิ่มแล้ว ทั้งยังบอกอีกว่า พ่อของตนดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้แล้วอย่างดี แต่พอมาถึงวันนี้กลับมาเรียกค่าเสียหายแถมถ้าพ่อของตนไม่จ่ายก็จะแจ้งความดำเนินคดี อย่างนี้ใครข่มขู่ใครกันแน่ ตนจึงมีปากเสียงกับสามีของคู่กรณีทำให้เขาไม่พอใจและเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมจาก 10,000 บาท เป็น 20,000 บาท ซึ่งตอนนั้น สามีของตนที่เป็นประธาน กต.ตร อยากให้เรื่องมันจบลงด้วยดีจึงจะจ่าค่าเสียหายให้ทั้งหมดเพื่อจบเรื่อง แต่ตนมองว่าไม่ใช่เรื่องที่สามีจะต้องมารับผิดชอบ จึงไม่ให้จ่าย และบอกกับคู่กรณีไปจริงๆว่าถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องเอา ซึ่งที่ผ่านมาตนมองว่า เรื่องเกิดมาตั้งหลายอาทิตย์แล้ว ก่อนหน้านี้คู่กรณีไม่ยอมเรียกค่าเสียหายแต่จู่ๆมาเรียกตอนนี้ แถมเวลาคุยโทรศัพท์ตนเป็นฝ่ายโทรไปถามตลอดว่าจะเอายังไง แต่ตนรู้สึกว่าฝ่ายที่ถูกข่มขู่เป็นฝ่ายของตนเองมากกว่า เพราะจากการพูดคุยผ่านแชทหรือโทร ฝั่งคู่กรณีจะบอกว่าถ้าอยากให้ยอมความจบเรื่องต้องจ่ายเงินเท่านั้นไม่งั้นจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดแถมบอกอีกด้วยว่าตอนนี้มีหลายคนเข้ามาช่วยเหลือแล้วหากไม่จ่ายค่าเสียหายจะประโคมข่าวให้กระจ่ายให้หมดอีก ซึ่งตนมองว่าอาจจะทำให้สามีของตนได้รับความเสียหายในเรื่องของชื่อเสียง เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสามีตนเลย สามีตนไม่เคยอ้างว่ารู้จักกับตำรวจแต่อย่างใด ไม่เคยข่มขู่หรือใช้อำนาจอะไรเลย มีแต่อยากจะช่วยจ่ายค่าเสียหายให้ด้วยซ้ำ
น.ส.ฟิมล์ เล่าต่ออีกว่า หากทางคู่กรณีจะฟ้องก็ให้เขาฟ้องเรียกค่าเสียหายได้เลย เพราะของตนอายุเยอะแล้วไม่ได้ทำงานอะไร ทุกวันนี้มีเงินใช้จากเบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุเดือนละไม่กี่บาท มีอะไรที่พ่ออยากได้พิเศษตนก็จะซื้อให้ พ่อของตนเล่นเครื่องบินบังคับมาหลายปีแล้ว เก็บเงินซื้อเองลำละ 1,000 – 2,000 บาท และได้นำเอาเงินเก็บส่วนนี้ไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้จนหมดแล้ว ตอนนี้พ่อของตนเครียดมาก เพราะกลัวว่าจะทำให้ลูกเขยเดือดร้อน แต่ได้คุยกันแล้วว่าไม่ต้องห่วงไม่ต้องเครียด เพราะที่ทางคู่กรณีกล่าวอ้างนั้นไม่เป็นความจริงเลย ตอนนี้ตนให้พ่อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านและคอยช่วยเหลืองานช่างในบ้านบ้างเป็นบางครั้งเพื่อให้พ่อไม่เครียดมากไปกว่านี้.
Discussion about this post