“เลิศศักดิ์” ป.กมธ.ป.ป.ง. บี้ กรมสรรพากร ส่งคดี ข้าราชการ-จนท.สรรพากรพื้นที่สาขาบางเสาธง จ.สมุทรปราการ ยักยอกเงินคืนภาษีสองพันกว่าล้าน ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ชี้ กมธ.ป.ป.ง. สงสัยมีขาใหญ่อยู่เบื้องหลังฮั้วกับผู้ประกอบการหรือไม่
เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2567 ที่รัฐสภาเกียก กาย ห้องประชุมกรรมาธิการ N407 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด (กมธ.ปปง.)สภาผู้แทนราษฎร ได้เรียกประชุมคณะกรรมาธิการ ที่ปรึกษา ผู้เชี่ยว ชาญ เลขาฯ พิจารณาติด ตามความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพา กรร่ำรวยผิดปกติจากการทุจริตยักยอกเงินคืนภาษีอาการในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฏหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยเชิญผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และ กรมสรรพากร เข้าชี้แจงประกอบด้วย นายสุกฤษฎิ์ เทียงแก้ว ผอ.สนง. ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสมุทรปรา การ ,นายรัฐพล บุญถูก พนักงานไต่สวนระดับสูง,น.ส.ฐปกรณ์ แสนพล พนักงานไต่สวนระดับกลาง และ นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ รองอธิบดีกรมสรรพากร, นายอภิชัย ศรีโต นิติกรชำนาญการพิเศษ,นายเสกสรร ประ เสริฐศรี นิติกรชำนาญการพิเศษ , นายกาญจน์ สุขสีทอง นิติกรชำนาญการ

การประชุมมีการโต้ตอบกันระหว่าง ผู้แทนสำนัก งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและผู้แทนจากกรมสรรพากร และ คณะกมธ.ป.ป.ง. เป็นไปด้วยความเข้มข้น ในประ เด็นผลการตรวจสอบจาก ป.ป.ช.ที่ตรวจพบยอดเงินในบัญชีเงินฝากของข้าราชการและเจ้าหน้าที่สรรพากรพื้นที่สาขาบางเสาธง จ.สมุทรปราการ ถูกชี้มูลความผิดกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า ข้า ราชการและเจ้าหน้าที่สรรพากร รวม 4 ราย ร่ำ รวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์ สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฏหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เป็นเงินรวม 2,085,348,581.53 บาท จาก 8 บัญชีที่ถูกตรวจพบ ทำให้เกิดมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตัวเลขความเสียหายที่แท้จริงในคดีนี้ อาจจะไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข 160 ล้านบาท ตามที่กรมสรรพากรให้ข้อมูลกับทาง กมธ.ป.ป.ง. ในที่ประชุมนี้ จนมีข้อสงสัยว่าจะมีบุคคลที่สามหรือบุคคลที่มีตำแหน่งสูงกว่านี้อยู่เบื้องหลังหรือไม่
นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล กล่าวว่า กรณีนี้ กมธ. ป.ป.ง. ได้รับรู้จากข่าวที่นำเสนอผ่านสื่อมวลชนในหลายแขนง การชี้แจงข้อมูลยังติดขัดหลายประเด็น โดยเฉพาะในส่วนของ กรมสรรพากร ซึ่งสรุปยอดเงินคงค้างผู้ประ กอบการที่ขอคืนภาษี เพียง 160 ล้านบาท และการทุจริตจากเจ้าหน้าที่ 4 รายนี้ ก็เป็นลักษณะของการหมุนเงินเท่านั้น ขณะที่ ป.ป.ช. สรุปยอดเงินจาก 8 บัญชี มีความเสียหายรวมกว่าสองพันล้านบาท และผู้ทุจริตก็ยังไม่สามารถชี้แจงเหตุนี้ได้จึงได้ขอให้ทาง กรมสรรพากร ซึ่งถือเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ โดยเฉพาะอธิบดีกรมสรรพากร ร้องไปยัง คณะกรรมการ ป.ป.ง.ให้ตรวจสอบตามกฏหมายฟอกเงิน เพื่อเช็คเส้นทางการเงินหมุนเวียนหลายพันล้านบาทนี้เพราะ กมธ.ป.ป.ง. ไม่เชื่อว่าจะมีแค่เพียงการยักยอกเงินภาษี แต่อาจจะมีการฮั้วกับผู้ประกอบการหรือไม่ที่อาจจะมีบุคคลที่ใหญ่กว่านี้อยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ เพื่อให้ชัดแจ้งที่มองไปถึงกระบวนการควบคุมป้องกันความเสียหายต่อไปในอนาคต
“กรณี กมธ.ป.ป.ง.สภาผู้แทนฯ เรียกร้องให้ อธิบ ดีกรมสรรพากร ส่งเรื่องนี้ไปยัง คณะกรรมการ ป.ป.ง. ก็เพื่อเร่งติดตามเส้นทางการเงิน เพราะเป็นความผิดมูลฐานตามกฏหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อจะได้รู้ว่ามีใครอยู่เบื้องหลังหรือมีขบวน การเครือข่ายอีกหรือไม่ ที่ถึงแม้ว่าจะมีคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะชี้มูลและดำเนินคดีไปแล้วอาจจะมีความล่าช้า ซึ่ง กมธ.ป.ป.ง. จะติดตามเรื่องนี้อย่างเต็มที่เพื่อความโปร่งใสและปกป้องเงินภาษีของแผ่นดินต่อไป” นายเลิศศักดิ์ กล่าวในที่สุด.
Discussion about this post