
วันที่ 23 มกราคม 2567 ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ นายทัศนัย เศรษฐเสรี นายศรยุทธ์ เอี่ยมเอื้อยุทธ อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ และนายยศสุนทร รัตตประ
ดิษฐ์ นักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเข้ารับทราบคดีบุกรุกหอศิลปวัฒนธรรม มช. ตามนัดหมายสำนักงานอัยการจ.เชียงใหม่ที่สั่งฟ้องคดีดังกล่าว ภายหลังนางอัศวิ
นีย์ หวานจริง อดีตคณบดีคณะวิจิตรศิลป์และผู้บริหารืแจ้งความดำเนินคดีข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ ที่ สภ.ภูพิงคราชเวศน์ เมื่อปี 2564 หรือ 2 ปีกว่าที่ผ่านมาโดยมี ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มช. น.ส.ทัศนีย์บูรณุปกรณ์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ เขต 1มาให้กำลังใจ และมีเจ้าหน้าที่การข่าวหน่วยงานความมั่นคง สังเกตการณ์กว่า5 หน่วยงาน เพื่อรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น โดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง
ระหว่างการรับทราบข้อกล่าวหาสั่งฟ้องทีมทนายความ ได้นำเอกสารสำนักงานอัยการจังหวัด มาให้นายศรยุทธ นายทัศนัย และนายยศสุนทร มาเซ็นชื่อเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา พร้อมขอยื่น
ประกันตัวในชั้นศาล ก่อนให้ปากคำศาล ตามที่เคยให้ปากคำคดีดังกล่าวในชั้นพนักงานสอบสวนมาแล้ว ทั้งนี้ผู้ถูกกล่าวหา 3 ราย ได้ใช้กองทุน
ทนายความสิทธิมนุษยชน ประกันตัวคดีดังกล่าว
นายศรยุทธ กล่าวว่า ตนและผู้ถูกกล่าว3 ราย ได้มารายงานตัว เพื่อแสดงเจตจำนง และข้อเท็จจริงต่อศาล เพราะสงคมสงสัยว่า เป็นไปตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งการตัดโซ่รั้วประตูหอศิลปวัฒนธรรม มช. ไม่ใช่การบุกรุก แต่เป็นการรักษาสิทธิการเรียนการสอน ไม่ให้สูญเสียสิทธิทางการศึกษา เพราะคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ตรวจสอบแล้ว อัยการจังหวัดสั่งไม่ฟ้อง ศาลปกครองเชียงใหม่ ได้วินิจฉัยแล้วว่า ไม่มีน้ำหนักสั่งฟ้อง แต่ผู้บริหาร มช. ยังฟ้องคดีอยู่ ซึ่งเรื่องดังกล่าว
ไม่ใช่ปัญหาส่วนบุคคล แต่เป็นปัญหาของมหาวิทยาลัย ที่ไม่สามารถบริหารจัดการความขัดแย้งดังกล่าวได้
นายทัศนัย กล่าวว่า การฟ้องดังกล่าวถือเป็นการใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเข้าข่ายแจ้งความเท็จ เป็นการฟ้องเพื่อปิดปากหรือไม่ รวมถึงฟ้องหมิ่น
ประมาท และ ม.112 รวมกว่า10 คดีสะท้อนถึงผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่มีความกล้าหาญ เข้าไปจัดการเรื่องดังกล่าว จนกระทั่งนางอัศวนีย์ ครบวาระ
จึงมีการเลือกตั้งคณบดีใหม่ ผลเลือกตั้ง ปรากฏว่าผู้มาใช้สิทธิ ทั้งอาจารย์และเจ้าหน้าที่เกือบ 100 % ลงคะแนนเป็นเอกฉันท์กว่า 98 % ไม่เอาผู้บริหาร
ชุดดังกล่าว สะท้อนถึงวุฒิภาวะและพฤติกรรมที่ผ่านมาเป็นอย่างดี
ศ.ดร.ปิ่นแก้ว กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผู้บริหารฟ้องอาจารย์ข้อหาบุกรุก เพื่อต้องการให้นักศึกษาจบการศึกษาเท่านั้น เป็นเรื่องน่าอาย ไม่ควรเกิดในประวัติศาสตร์ มช. ดังนั้น
เรียกร้องผู้บริหาร ถอนฟ้องคดีดังกล่าวและเข้าไปพูดคุยในมหาวิทยาลัย ไม่ควรใช้อำนาจ กฏหมาย ทำเรื่องแบบนี้
นายยศสุนทร กล่าวว่า การตัดโซ่รั้วประตู เป็นการใช้สิทธินักศึกษา เพราะจ่ายค่าเทอมแพงมาก ต้องใช้ให้คุ้มเต็มที่ถ้าผมไม่ตัดโซ่ ก็มีเพื่อนคนอื่นทำ ไม่
ควรจำกัดการศึกษา หรือใช้ทรัพยากรดังกล่าว ต้องเป็นการศึกษาแบบเปิดกว้าง ไม่ใช่ล็อครั้วให้การศึกษาแคบลง ถือเป็นการปิดปากคนทำงานศิลป
เพื่อสื่อสารต่อสาธารณชน เพราะอาคารดังกล่าว เปรียบเหมือนเป็นบ้านและที่ทำงานนักศึกษาด้วย
น.ส.ทัศนีย์ กลาาวว่า มาให้กำลังใจอาจารย์และนักศึกษา ในฐานะศิษย์เก่า มช. พื้นที่มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่สาธารณะ ให้นักศึกษาได้แสดงออก
แต่การกระทำดังกล่าว มองว่าเป็นการข่มขู่มากกว่า เพราะนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบเรื่องดังกล่าวว อาจ
เสียสุขภาพจิต และร่างกายได้ คนที่สั่งการควรดูแลลูกศิษย์ รักเหมือนลูกหลาน ไม่ใช่ละเมิดสิทธิมนุษยชนเพราะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน ได้ตรวจสอบแล้ว เป็นการละเมิดสิทธินักศึกษา ดังนั้นอย่าใช้กฎหมายปิดปาก เรื่องดังกล่าวต้องมีผู้รับผิดชอบ
เพราะสถานศึกษา ต้องมีพื้นที่แสดงออก และคุ้มครองนักศึกษา ไม่ใช่ฟ้องบุกรุกแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามแนวทางต่อสู้ดีดังกล่าวเป็นอย่างไร นายทัศนัย กล่าวว่า ได้ให้ทีมทนายความ รวบรวมพยานหลักฐานสู้คดีดังกล่าวแล้ว ส่วนผลของคดี
ได้พูดคุยทีมทนาย และนักกฏหมายจะดำเนินการอย่างไร เพราะมี 3 องค์กร ได้วิจฉัยคดีดังกล่าวแล้ว ว่าไม่มีน้ำหนักฟ้อง จึงขอสู้คดีจนถึงที่สุดและอาจฟ้องกลับฐานแจ้งความเท็จต่อไป
//////////
Discussion about this post