วันที่ 8 กรกฎาคม 2567 นางสาวอิงค์ณภัจฉร์ ชินวัตรนุวงค์อดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาและประธานชมรมรักษ์พุทธศาสน์นานาชาติได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในโอกาสที่มากราบ เจดีย์หลวงปู่แสง ญานวโร
ที่จังหวัดอำนาจเจริญ โดยให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ในฐานะผู้สมัครและผ่านเข้าไปคัดเลือกในระดับประเทศซึ่งได้มีการคัดเลือกไปในวันที่ 26 มิถุนายน2567 ที่ผ่านมา ในความคิดเห็นส่วนตัวเห็นว่ามีวาระซ่อนเร้นหลายเรื่องตั้งแต่เรื่องการรับสมัครที่มีคำถามเกิดขึ้นทุกระดับแต่ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจน อีกทั้งฎกติกาและการปฏิบัติที่เอื้อการจัดตั้งคนเข้ามาล็อคโหวต ที่สำคัญการคัดเลือกครั้งนี้ไม่สามารถตอบประชาชนได้ว่ามรดกบาปตราบาปที่ตอกย้ำสังคมไทย กฎหมายและองค์กรอิสระ ของประเทศไทยไม่น่าเชื่อถือ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เว้นแม้แต่สภาสูงที่ไม่ควรมีพรรคการเมืองมาครอบงำ
มิหนำซ้ำกระบวนการคัดเลือกยังถูกแทรกแซงด้วยพรรคการเมืองในครั้งนี้ที่ต้องการเสียงในสภาสูงในการผ่านกฎหมายเอื้อกลุ่มตนและพวกพ้องจนนำไปสู่ผลการคัดเลือกที่ออกมาได้ปรากฏต่อหน้าสาธารณชน ประชาชนทั่วประเทศและนานาประเทศทั่วโลกว่ามีการแทรกแซงและใบสั่งทางการเมืองของพรรคที่เข้ามาครอบงำ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมา หลายครั้งว่า ทำไมไม่ทำการคัดเลือกในครั้งนี้ ให้ โปร่งใสบริสุทธิ์ยุติธรรมและตรวจสอบได้
ที่สำคัญผู้ที่สมัครเข้าคัดเลือก สมาชิกวุฒิสภาทุกท่านได้สัมผัสรับรู้รับทราบกระบวนการนี้ด้วยตนเองในทุกช่วงระดับที่คัดเลือก ว่าไม่มีความโปร่งใส ไม่มีความเป็นธรรมเริ่มตั้งแต่การรับสมัครซึ่งไม่มีการกลั่นกรองคุณสมบัติของผู้สมัครเบื้องต้น
ว่ามีคุณสมบัติ ตรงตาม สาขาที่ตนเองสมัครหรือไม่
โดยตนเองได้ตั้งข้อสังเกตจาก สว.3 ที่ไม่มีรายละเอียดใดๆเลยและได้มีการสอบถามไปที่กกตว่า
หากว่าคนกลุ่มนี้ที่จัดตั้งกันเข้ามาขาดคุณสมบัติ ตั้งแต่เริ่มต้น แต่ได้มีการโหวตคะแนนให้กับบุคคลอื่น ซึ่งมีผลได้ผลเสียไปแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้จะมีความผิดหรือไม่ นอกจากการถอดถอนลบชื่อออก จากการคัดเลือกในครั้งนี้และคะแนนที่โหวตไปจะมีผลโมฆะหรือไม่
ซึ่งได้รับคำตอบจากกกตว่าคะแนนที่โหวตไปไม่โมฆะอันนี้ก็เป็นตรรกะที่ไม่สามารถอธิบายต่อ ประชาชนและ สังคมได้ว่า การคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาในครั้งนี้มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม โปร่งใสตรวจสอบได้
การวางตัวบุคคลซึ่งถือว่าข้อกฎหมายเอื้อให้ทำได้ โดยมีการเอาคนเข้ามาล็อคโหวตและเลือกไขว้ไปมาหน้าตา ของสมาชิกวุฒิสภาจึงออกมาอย่างที่เห็น คือไม่ตรงตามคุณสมบัติที่สมัครไม่มีความรู้ ที่จะเข้าไปกลั่นกรองกฎหมายไม่มีใครด้อยค่าใคร แต่นี่คือการคัดสรร สมาชิกวุฒิสภา เพื่อเข้าไปคัดกรองเห็นชอบกฎหมาย ซึ่งจะต้องมีหลักการและองค์ความรู้พอสมควรและประสบการณ์ ในงานนั้นๆไม่น้อยกว่า 10 ปี
ทั้งนี้ทั้งนั้นหากว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศรับรอง สว. ทั้ง 200แบบขอไปทีหรืออ้างเหตุผลน้ำเน่าว่าให้ประเทศเดินต่อไปอันนี้ไม่สมควรอย่างยิ่งเพราะจะ เกิดความเสียหาย จาก คุณสมบัติของสมาชิกวุฒิสภา ที่ไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่ว่าในเชิงวิชาการหรือเชิงประจักษ์ทำให้มีผล กระทบต่อความเชื่อมั่นต่อ องค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงอาจจะผ่านกฎหมายที่ไม่เกิดประโยชน์ไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม และอาจเอื้อประโยชน์ ให้กับบุคคลใด กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งซึ่งปัจจุบันความน่าเชื่อถือ ขององค์กรเหล่านี้ก็ ตกต่ำมาก ในสายตาประชาชน นอกจากนี้ยังจะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงตามมา
กระบวนการคัดเลือกและระเบียบ เป็นที่ครหาของสังคม ของประชาชนทั้งประเทศ นอกจากจะไม่เชื่อมโยงกับประชาชนแล้ว ยังไม่สามารถบ่งบอก ความบริสุทธิ์โปร่งใสยุติธรรมตรวจสอบได้
ตนจึงขอเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ ผู้สมัครสวทุกท่าน ที่เข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ตั้งใจเข้ามาทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมและเป็นที่ยอมรับทั่วไป และทำให้ประชาชนเสียโอกาส ที่จะได้นักปราชญ์ผู้รู้เหล่านี้เข้าไปทำงานเพื่อแผ่นดิน และที่สำคัญ ไม่มีความ เท่าเทียม ในเรื่องของสัดส่วนจำนวนของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีทุกจังหวัด
ในขณะนี้ประชาชนทั่วประเทศองค์กร ต่างประเทศ เฝ้าตรวจสอบติดตามการกระทำ ขององค์กรอิสระของคประเทศไทย ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้อง กับการคัดเลือกโดยตรงอย่าง กกต หรือองค์กรที่ให้คำวินิจฉัยหรือข้อคิดเห็น
รวมไปถึง พรรคการเมืองที่เข้ามาครอบงำ ในการคัดสรร สมาชิกวุฒิสภาในครั้งนี้ว่าได้มีการดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีรวมไปถึงการติดตามคำร้องคัดค้านการรับรองผลการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาในครั้งนี้.
และโดยส่วนตัวคิดว่าควรจะเป็นโมฆะ และเริ่มต้นที่ กระบวนการคัดเลือกใหม่ถ้ามีการกระทำแบบนี้แล้วปล่อยเลยตามเลยประเทศไทยจะไม่มีหลักหรือตรรกะ ที่น่าเชื่อถือได้ ประเทศชาติและประชาชนจะอยู่กันอย่างไร เราจะถูกปิดหูปิดตา ด้วยนักการเมืองชั่ว แบบนี้ ที่เห็น ผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ อย่างนี้หรือ ?นางสาวอิงค์ณภัจฉร์ กล่าวในท้ายที่สุด
ทางด้านนายจำรัส ไกยสิทธิ์ ทนายความชื่อดังประธานชมรมผู้ตื่นรู้ประชาธิปไตยจังหวัดอำนาจเจริญ กล่าวว่า การเลือกตั้ง.สว.ที่ผ่านมาไม่ได้มาจากประชาชนที่แท้จริงเป็นกลวิธีของผู้มีอำนาจเขียนรัฐธรรมนูญหลอกลวงประชาชน เปรียบเทียบกับผู้ใหญ่ไปจีบสาวข้ามหมู่บ้านอีกหมู่หนึ่งมีเด็กๆไปด้วยตกลงกันว่าในกลุ่มผู้ใหญ่ห้ามวิ่งเมื่อเดินผ่านป่าช้าพอถึงป่าช้าผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งเดินเร็วขึ้นเด็กที่ไปด้วยเห็นพฤติการณ์ของผู้ใหญ่เดินเร็วขึ้นเมื่อผ่านป่าช้า.เด็กก็วิ่งสิครับผ่านป่าช้า.เมื่อผู้ใหญ่เห็นเด็กวิ่งผู้ใหญ่ก็วิ่งสิครับ เหมือนกันกับการเลือกตั้ง.สว.ไม่ทำตามกติกาเลือกตั้งเมื่อรัฐธรรมนูญมีช่องว่างก็เสร็จพรรคการเมืองจัดตั้งกลุ่มทุกอาชีพ๒๐กลุ่มในการจัดตั้งกลุ่มต้องออกค่าใช่จ่ายให้ทุกอำเภอเพื่อให้มาเลือกพรรคพวกตัวเองเพื่อให้ผ่านเข้ามาในจังหวัดเหมือนกันกับการเลือกตั้ง.สว.ไม่ทำตามกติกาเลือกตั้งเมื่อรัฐธรรมนูญมีช่องว่างก็เสร็จพรรคการเมืองจัดตั้งกลุ่มทุกอาชีพ ๒๐ กลุ่มในการจัดตั้งกลุ่มต้องออกค่าใช่จ่ายให้ทุกอำเภอเพื่อให้มาเลือกพรรคพวงตัวเองเพื่อให้ผ่านเข้ามาในจังหวัด
พูดง่ายๆพรรคการเมืองออกค่าสมัครให้
เมื่อเป็นเช่นนี้.สว.เป็นคนของพรรคการเมืองแน่นอน
ประชาชนทั้งจังหวัดไม่ได้ไปออกเสียงลงคะแนนเลย
เป็นระชาธิปไตยเดินผ่านป่าช้า.ไม่มีผิด
นายจำรัสไกยสิทธิ์ กล่าวในที่สุด/
ภาพ-ข่าว/ทิพกร หวานอ่อน ผู้สื่อข่าวประจังหวัดอำนาจเจริญ รายงาน
Discussion about this post