
วงสัมมนาการจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ เพื่อความยั่งยืนทางระบบนิเวศ ด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เผยผลการศึกษาวิจัยระบุชัดปลาหมอคางดำสัญชาติกานา แหล่งเดียวกับบริเวณเอกชนขออนุญาตนำเข้า แม้จะปฏิเสธแต่วิทยาศาสตร์สืบทราบต้นตอได้
เวลา 10.00 น. วันที่ 27 กันยายน 2567 การเสวนาเสวนาการจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ เพื่อความยั่งยืนทางระบบนิเวศ ด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่จัดขึ้นภายในห้องประชุมบ้านไม้ธารารีสอร์ท อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม เป็นไปอย่างคึกคัก มีนายวาโย อัศวรุ่งเรือง ประธานคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร, นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำเพื่อการวิจัยแลพัฒนาสายพันธุ์ในราชอาณาจักรไทย, นายอานุภาพ ลิขิตอำนวยชัย ส.ส.สมุทรสงคราม ร่วมเวทีอภิปรายในหัวข้อ “การจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ เพื่อความยั่งยืนทางระบบนิเวศ ด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม” โดยมีชาวบ้านในพื้นที่เข้าร่วมสัมมนากว่า 100 คน
นายวาโย กล่าวว่า จากการรวมวิจัยหลายๆชิ้นพบว่า เรื่องราวประติดประต่อเหมือนจิ๊กซอ เริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้น เริ่มจากประเทศไทยไม่เคยมีปลาหมอคางดำ จนปลายปี 2553 ต้นปี2554 มีบริษัทเอกชนขอนำเข้าปลาหมอคางดำจากประเทศกานามาวิจัย ที่ ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ต่อมาปลายปี 2554 ต้นปี 2555 เจอปลาหมอคางดำครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม และจากงานวิจัยทำให้ทราบว่าปลาหมอสีดังกล่าวมาจากแหล่งที่มาเดียวกัน และงานวิจัยล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่าแหล่งที่มาเดียวกันคือประเทศกานา ซึ่งข้อเท็จจริงพบว่ามีบริษัทเดียวที่นำเข้ามาจากประเทศกานา โดยปลาหมอคางดำระบาดจนถึงปัจจุบัน 20 จังหวัด สร้างความเสียหายจำนวนมาก
นายวาโย กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยพบว่ามีกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม มาตรา 97 ระบุว่าหน่วยงานรัฐสามารถไปฟ้องกับเอกชนที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเสียหายได้ แม้บริษัทเอกชนจะขออนุญาตถูกต้อง แต่หากทำผิดเงื่อนไข หน่วยงานรัฐก็ฟ้องได้ เช่นกรณีปลาหมอคางดำ ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้อย่างยิ่งว่าอาจมีผู้หนึ่งผู้ใดที่เป็นต้นต่อสาเหตุของการทำลายทัพยากรธรรมชาติ ต้องย้อนไปตรวจสอบว่า ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่, นำเข้ามาแล้วปล่อยปละละเลยให้หลุดออกสู่ธรรมชาติหรือไม่, ใช้ความระมัดระวังตามสมควรหรือไม่, ประมาทเลินเล่อหรือเปล่า ซึ่งหน่วยงานรัฐต้องเขาไปตรวจสอบ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ขออนุญาตถูกต้องแต่มีเงื่อนไข 1.ต้องนำครีบปลาหมอคางดำมาส่งมอบให้กรมประมงจะตรวจDNA , 2.เสร็จแล้วต้องส่งผลงานวิจัยต่อกรมประมง และทำลายซากปลาให้หมด เก็บซากให้กรมประมงตรวจสอบ
นายวาโย กล่าวว่า จากการตรวจสอบแม้บริษัทเอกชนจะอ้างว่า ส่งซากปลาหมอคางดำให้กรมประมงแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าบริษัทเอกชนส่งมอบซากปลาให้กรมประมงตรวจสอบ และยังไม่พบในเอกสารของกรมประมง จากการตรวจสอบจุดฝังกลงซากปลา ก็พบว่ามีการสร้างอาคารปิดทับไปแล้ว ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่หน่วยงานภาครัฐต้องตรวจสอบ ซึ่ง คณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ประสานกำกับติดตาม จนได้ข้อมูลส่งให้หน่วยงานต่างๆดำเนินงาน เช่น สภาทนายความเริ่มฟ้องคดีแล้ว
นายวาโย กล่าวว่า จากผลการศึกษาวิจัยความเสียหายตำบลละ 1,300 ล้านบาท ทั้งประเทศเสียหายกว่า 70 ตำบลทั่วประเทศ ความเสียหายเป็นหมื่นล้านบาท คณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร มีหน้าที่ตรวจสอบ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องมาดำเนินงาน ซึ่งคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร จะคอยกำกับตรวจสอบอย่างเข้มข้น และจะมารายงานให้ประชาชนทราบต่อไป
///// ภาพ-ข่าว : กุ้ง สมุทรสงคราม /////
Discussion about this post