
จากกรณีที่ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดยกระดับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะความผิดที่เกี่ยวกับคนเข้าเมืองและชาวต่างชาติที่มีลักษณะเป็นอาชญากร หรือ เป็นสมาชิกองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบหลักของ สตม. โดยสั่งการและกำชับให้เพิ่มความเข้ม ในการตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่รับผิดชอบงานสืบสวนเน้นลงพื้นที่ เพื่อสืบสวนหาข่าวอย่างต่อเนื่อง
การปฎิบัติงานมีการตรวจเข้มอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รอง ผบก.ฯ รับผิดชอบงานตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จึงได้สั่งการให้ ว่าที่ พ.ต.อ.พลสิทธิ์ สุทธิอาจ ผกก.สืบสวน บก.ตม.1, พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ รอง ผกก.สืบสวนฯ พร้อมชุดปฏิบัตินำโดย พ.ต.ท.ทวีทรัพย์ ชัยภูมิ และ พ.ต.ท.ธงไทย ไพเราะ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1 เรียกประชุมชุดสืบสวนในการลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว หลังได้รับข้อมูลจากพลเมืองดีว่า มีบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน 2 ราย มีพฤติกรรมหลบ ๆ ซ่อน ๆ เชื่อว่าน่าจะลักลอบหลบหนีเข้าเมือง หรือ กระทำความผิดอื่น ๆ ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ฯ และมาซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ชั้นใน
ต่อมา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 15.30 น. หลังได้รับสั่งการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง สังกัด บก.ตม.1 ชุดสืบสวน ได้นำกำลังลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวในพื้นที่ทันที โดยได้รับข้อมูลจากสายลับว่า บุคคลต่างด้าวที่เป็นเป้าหมายพักอาศัยอยู่ในสถานที่มีลักษณะเป็นคอนโดหรู ตั้งอยู่ใกล้กับย่านทองหล่อ กรุงเทพมหานคร โดย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระจายกำลังกันสังเกตการณ์ ต่อมาชุดสืบสวนรู้แหล่งพักอาศัยของเป้าหมายแน่นอนแล้ว จึงเฝ้าสังเกตุการณ์เนื่องจากชุดสืบสวน เพราะเชื่อว่า บุคคลต่างด้าวเป้าหมายจะลงมารับอาหาร เนื่องจากไม่ต้องการเดินทางออกไปนอกคอนโดมิเนียม เพื่อหลีกเลี่ยงการปรากฏตัวต่อสาธารณะ
จนกระทั่งเวลาประมาณ 17.00 น. เจ้าหน้าที่ ได้พบบุคคลต่างด้าวลักษณะคล้ายคนจีนเพศชาย 2 คน เดินลงมาบริเวณล็อบบี้คอนโดมิเนียม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้าแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและแสดงบัตรประจำตัวให้ดูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นได้ขอตรวจสอบเอกสารประจำตัว หรือหนังสือเดินทางของบุคคลทั้งสอง โดยรายแรกแสดงหนังสือเดินทาง ชื่อ นายเซียว อายุ 30 ปี เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรถูกต้อง แต่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดแล้วประมาณ 2 เดือน ส่วนอีกรายแจ้งว่าชื่อ นายหลิว อายุ 29 ปี สัญชาติจีน แต่ไม่สามารถแสดงหนังสือเดินทางได้ ตรวจสอบลายนิ้วมือของผู้ถูกจับในระบบสารสนเทศของ สตม. เบื้องต้นไม่พบข้อมูลการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่นายเซียวว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” ส่วนนายหลิวนั้น เจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหา “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมแจ้งสิทธิ์ของผู้ถูกจับให้ทราบ และได้เชิญตัวผู้ถูกจับทั้ง 2 รายมาที่ กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. เพื่อทำบันทึกจับกุมและนำตัวผู้ถูกจับส่ง พงส. กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป อย่างไรก็ตาม ระหว่างการทำบันทึกจับกุม นายหลิว หนึ่งในผู้ถูกจับ มีพฤติกรรมกระวนกระวายอย่างมาก พยายามแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า ตนมีหนังสือเดินทางแต่ได้ทำหายไปและให้การกลับไปกลับมา เจ้าหน้าที่เกิดความสงสัยจึงได้ประสานข้อมูลกับองค์กรบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ จนได้ข้อมูลยืนยันว่าบุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว คือ นายต้า หลิว ซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ที่ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปี 2566 ได้ก่อคดีฉ้อโกงเงิน โดยการหลอกระดมทุนจากผู้เสียหายหลายราย โดยอ้างว่าตัวนายต้าหลิว ได้ร่วมธุรกิจกับบริษัทจำหน่ายสุราชื่อดังของประเทศจีน ผู้เสียหายเห็นว่านายต้าหลิว ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายสุราอยู่ก่อนแล้ว จึงหลงเชื่อ ก่อนที่มีการโอนเงินลงทุนให้กับนายต้าหลิวเป็นจำนวนมาก คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 2.5 ล้านหยวน หรือกว่า 12 ล้านบาท ก่อนจะหลบหนีจากที่พักในมณฑลกุ้ยโจว แล้วนั่งรถมามณฑลยูนนาน ก่อนจะลักลอบเข้ามาในประเทศลาวและไทยตามลำดับ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ หลังจากได้ข้อมูลภาพถ่ายเพิ่มเติมแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้ใช้ระบบตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ไบโอเมตริกซ์ ตรวจเปรียบเทียบ ผลการตรวจสอบพบเป็นบุคคลเดียวกันจริง ซึ่ง สตม.จะได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อนำตัวนายต้าหลิว ไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไ
สำหรับการปฏิบัติการดังกล่าวนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตรวจคนเข้าเมืองและระบบไบโอเมตริกซ์ เป็นเครื่องมือช่วยเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน รวมไปถึงเบาะแสสำคัญจากพี่น้องประชาชน จนนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผล ในการจับกุมคนร้ายข้ามชาติรายสำคัญที่หลบหนีคดี และใช้ประเทศไทยเป็นที่ซ่อนตัว ดังนั้นจึงขอฝากประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชนผ่านสื่อมวลชนว่า การแจ้งที่พักอาศัยต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกรณีคนต่างด้าวเข้ามาพักอาศัย เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งเจ้าบ้าน เจ้าของ หรือผู้ครอบครองดูแลเคหสถาน รวมไปถึงผู้จัดการโรงแรม จะต้องตระหนักและให้ความสำคัญ นอกจากนี้หากพี่น้องประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่สายด่วนหมายเลข 1178 ตลอด 24 ชม.
สมเกียรติ ทรัพย์เฉลิม / รายงาน
0816235473
Discussion about this post