
วันนี้ 9 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รองศาสตราจารย์ ดร. เอริกา พฤฒิกิตติ สำนักวิชาสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี ได้เปิดเผยผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง ได้แก่ กรมควบคุมมลพิษ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมพัฒนาที่ดิน และองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา โดยเผยว่าในช่วงเวลาที่ประชาชนคนไทยกำลังรอผ่านการร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด ที่คาดว่าจะสามารถบังคับใช้ในฤดูฝุ่นปีพ.ศ. 2569 จึงเสนอแนะผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้กำหนดนโยบายนำไปใช้ประกอบการขับเคลื่อนนโยบายอากาศสะอาดของจังหวัดกาญจนบุรี และ จังหวัดสุพรรณบุรี ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมภายใต้การบังคับใช้กฎหมายใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
การดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) ภายใต้โครงการปฏิบัติการนำร่องลดการเผาในที่โล่งเชิงรุกเพื่อสุขภาวะที่ดีในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยเริ่มจากจังหวัดกาญจนบุรี และ สุพรรณบุรี ตั้งอยู่ในตอนกลางของประเทศไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบปัญหาระดับฝุ่น PM2.5 สูงในช่วงฤดูแล้ง โดยส่วนใหญ่สอดคล้องกับจำนวนจุดความร้อนจากการเผาชีวมวลภาคป่าไม้และเกษตรกรรม เมื่อวิเคราะห์สภาพอุตุนิยมวิทยาช่วงฤดูแล้ง (เดือนมกราคม ถึง พฤษภาคม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 ถึง 2566) ในแต่ละพื้นที่ พบว่า การปรากฏของฝุ่นละอองขนาดเล็กสะสมสูงในอากาศมักจะเกิดขึ้นกับสภาพอุตุนิยมวิทยาที่เป็นแบบแผน ดังนี้
อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศไทย สูงจากระดับน้ำทะเล 30 – 34 เมตร และห่างจากอ่าวไทยประมาณ 100 km ระดับฝุ่น PM2.5 สูงและยาวนาน มักพบในช่วงความชื้นต่ำ อากาศร้อนขึ้น ลมแรงพัดจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ บ่งชี้ว่าแหล่งกำเนิดของมลพิษในเขตอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนสำคัญมาจากฝุ่นนอกพื้นที่ เมื่อได้ทดลองเก็บตัวอย่างฝุ่น (เก็บตัวอย่างที่อำเภอไทรโยค) มาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ นักวิจัยพบองค์ประกอบของโซเดียมซึ่งคาดว่ามาจากเกลือทะเลผสมร่วมกับสารประกอบอินทรีย์ที่มักพบจากการเผาไหม้ชีวมวล หลักฐานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ฝุ่น PM2.5 ที่พบในจังหวัดกาญจนบุรี มีโอกาสพัดมาจากแหล่งเผาชีวมวลจากนอกพื้นที่ผสมกับเกลือทะเลจากอ่าวไทย นอกจากนี้ ยังพบว่าฝุ่นภายในพื้นที่ก็มีมากขึ้นในช่วงเวลาความเร็วลมต่ำ และลมพัดผ่านตอนกลางของประเทศ คือ ลมจากทิศตะวันออก และ ตะวันออกเฉียงเหนือ โดยแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 ภายในพื้นที่ที่สำคัญคือการเผาชีวมวลจากการเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไร่อ้อย และ จากกิจกรรมจราจร สิ่งที่น่าสนใจคือ ฝุ่นจากการเผาป่าในเขตพื้นที่อนุรักษ์ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ซึ่งอยู่ในฝั่งตะวันตกของอำเภอเมือง ส่งผลกระทบต่อคนเมืองน้อยมาก โดยมักพบระดับฝุ่น PM2.5 ต่ำในช่วงลมพัดจากทิศตะวันตก
อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นนาข้าว ความสูงของพื้นที่น้อยกว่า 13 เมตร และอำเภออู่ทอง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นไร่อ้อย ความสูง 13 ถึง 34 เมตรจากระดับน้ำทะเล ลมประจำถิ่นที่มักมาพร้อมกับฝุ่น PM2.5 คือลมตะวันออกเฉียงเหนือ โดยลมดังกล่าวมักมีความเร็วลมต่ำ ความชื้นในอากาศต่ำ และความกดอากาศสูง บ่งชี้สภาพอากาศคงตัว สนับสนุนการสะสมของฝุ่นจากการเผาชีวมวลนาข้าวและไร่อ้อยที่มักพบในช่วงนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนจุดความร้อนกับปริมาณฝุ่น PM2.5 ไม่ชัดเจน แสดงให้เห็นว่า สภาพอากาศส่งผลต่อมลพิษอากาศมากกว่าการบริหารจัดการจุดความร้อน ในขณะที่ลมจากทิศใต้สามารถบรรเทาปัญหามลพิษอากาศให้ลดลงในช่วงนี้ได้ เนื่องจากเป็นลมอุ่น มีความชื้นสูง ทำให้กลุ่มอากาศลอยตัวสูงขึ้น
ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างฝุ่น PM2.5 กับ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิผิวน้ำทะเลฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกเขตศูนย์สูตร (El Niño Southern Oscillation, ENSO) พบว่า ปัจจัยดังกล่าวส่งผลสำคัญต่อปริมาณฝุ่นในสองพื้นที่นี้ นอกจากนี้ ในจังหวัดกาญจนบุรี ยังพบว่าการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิผิวน้ำทะเลฝั่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Dipole, IOD) ส่งผลกระทบต่อปริมาณฝุ่นในวันที่ฝุ่นที่สูงกว่า 37.5 µg/m3 อีกด้วย
จากข้อค้นพบดังกล่าว รองศาสตราจารย์ ดร. เอริกา พฤฒิกิตติ สำนักวิชาสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี พร้อมด้วยนักวิจัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ให้ข้อเสนอแนะในการบริหารจัดการฝุ่น PM2.5 ดังนี้
- เสริมสร้างการควบคุมการเผาชีวมวลในระดับภูมิภาค หรือกลุ่มจังหวัด โดยพิจารณาจากลุ่มอากาศ (Airshed) เป็นสำคัญ อาทิ กลุ่มจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพื่อเสริมสร้างการประสานงานระหว่างจังหวัดในการจัดทำแผนการลดการปล่อยมลพิษร่วมกัน โดยมุ่งเน้นการกำหนดกิจกรรมลดการเผาโดยใช้แรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ ร่วมกับ การใช้ระบบอนุญาตการเผาโดยพิจารณาจากสภาพอุตุนิยมวิทยา
- เพิ่มจำนวนเครือข่ายการติดตามตรวจสอบสภาพอากาศและอุตุนิยมวิทยาให้ครอบคลุมพื้นที่ ดูแลรักษาเครื่องมือตรวจวัดให้อยู่ในสภาพดี และเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนทราบ เนื่องจากในปัจจุบัน การตรวจวัดมีเฉพาะในเขตเมือง และขาดข้อมูลสมบูรณ์ต่อเนื่อง หากสมารถดำเนินการปรับปรุงและเติมเต็มช่องว่างด้านฐานข้อมูลนี้ได้ จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนบริหารจัดการคุณภาพอากาศในองค์รวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- พัฒนาระบบพยากรณ์คุณภาพอากาศและลมฟ้าอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อเตือนเกี่ยวกับเหตุการณ์ PM2.5 ที่มีความเสี่ยงสูง และแจ้งข้อมูลและควบคุมกิจกรรมการเผาในสภาพบรรยากาศที่เสถียร ทั้งนี้เนื่องจากสภาพลมฟ้าอากาศเชื่อมโยงต่อคุณภาพอากาศอย่างมีนัยสำคัญ
- ปรับแผนการจัดการคุณภาพอากาศประจำปี โดยพิจารณาผลการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิเหนือผิวน้ำทะเลทั้งในฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก (ENSO) และฝั่งมหาสมุทรอินเดีย (IOD) และวางแผนการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษให้เข้มงวดขึ้นในช่วงปรากฎการณ์ El Nino และ Negative IOD
////////////////////////////////////////////////////////////
ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์