วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 นายสมพร ศรีเมือง ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) พร้อมคณะผู้บริหาร อ.ส.ค. และผู้เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในโอกาสลงพื้นที่ศึกษาดูงานแนวทางทางการบริหารจัดการโคนมและผลิตภัณฑ์นม และเพื่อรับฟังสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในอุตสาหกรรมโคนม เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังรับฟังบรรยายสรุปภาพรวมเกี่ยวกับข้อมูลการดำเนินงานของ “องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)”

โดยนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้กล่าววัตถุประสงค์ในการมา อ.ส.ค. ครั้งนี้ว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโคนมไทย เพื่อนำไปใช้ในการพิจารณาร่างกฎหมายให้มีความรอบคอบ ครอบคลุม และสามารถนำไปใช้ได้จริง “ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โคนมและผลิตภัณฑ์นมฯ ฉบับใหม่นี้ ต้องตอบโจทย์เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทุกกลุ่ม และช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมโคนมของประเทศ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ” นายบุญสิงห์กล่าว
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่เพื่อรับฟังข้อมูลจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง หวังให้กฎหมายฉบับใหม่เป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมโคนมไทยอย่างแท้จริง
นายสมพร ศรีเมือง ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวว่า “แม้การลงพื้นที่ในครั้งนี้จะมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าสู่พื้นที่ฟาร์มจริง แต่ทาง อ.ส.ค. ก็ได้จัดเตรียมข้อมูลและสื่อการบรรยายที่ครบถ้วน เพื่อให้คณะกรรมาธิการฯ ใช้ประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ พร้อมยืนยันว่า อ.ส.ค. พร้อมทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมนมไทยอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะภายใต้เงื่อนไขของเขตการค้าเสรี (FTA) ที่ท้าทายการแข่งขันในระดับสากล ซึ่งที่ผ่านมา อ.ส.ค. มุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างนโยบายกับภาคปฏิบัติ เพื่อให้เสียงของเกษตรกรโคนมทุกกลุ่มถูกถ่ายทอดอย่างครบถ้วนไปสู่การร่างกฎหมายใหม่ เราไม่ได้ทำแค่ในเชิงนโยบาย แต่เราลงมือทำจริงกับเกษตรกรทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมาและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่การแข่งขันในตลาดเสรีมีความเข้มข้นขึ้น ทำให้เราต้องปรับบทบาทจากเพียงผู้ส่งเสริม ไปสู่การเป็น ‘พาร์ตเนอร์พัฒนา’ ทั้งในด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยีฟาร์ม และการเชื่อมโยงตลาด เพื่อให้เกษตรกรไทยมีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน อีกทั้งฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง ไทย–เดนมาร์ค
ที่คณะกรรมาธิการได้ศึกษาข้อมูลในวันนี้ ถือเป็นต้นแบบที่สะท้อนถึงความพร้อมของประเทศไทย ในการก้าวสู่มาตรฐานการผลิตระดับสากล ภายใต้กรอบ FTA และนโยบายโคนมแห่งชาติ”
ในช่วงท้าย นายสมพรได้กล่าวเพิ่มเติมด้วยความยินดีต่อความตั้งใจของคณะกรรมาธิการฯ และกล่าวสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติฉบับใหม่ว่า “เราขอขอบคุณคณะกรรมาธิการทุกท่านที่เปิดโอกาสให้ภาคปฏิบัติได้สะท้อนข้อเท็จจริง และหวังว่ากฎหมายใหม่นี้จะเป็นเครื่องมือที่ทันสมัย คล่องตัว และยั่งยืน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมโคนมไทยทั้งระบบ
ทั้งนี้ นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ และคณะ ได้มีร่วมกันหารือ เพื่อหาแนวทางในการนำข้อมูลปัญหา และอุปสรรคต่างๆไปปรับในร่างพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม เพื่อให้มีความครอบคลุมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ผู้บริโภค ภาคเอกชน และหน่วยงานรัฐ เพื่อให้การตัดสินใจด้านนโยบายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ และสนับสนุนอุตสาหกรรมนมไทยได้อย่างเป็นระบบ พร้อมผลักดันร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่นี้ให้สามารถรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมนมไทยอย่างยั่งยืน สร้างรายได้ให้เกษตรกร และแข่งขันได้ในเวทีโลก และเสนอแนะว่าในอนาคต ท่ามกลางความท้าทายจากการนำเข้านมผงจากต่างประเทศภายใต้ FTA ซึ่งกระทบต่อต้นทุนและศักยภาพของเกษตรกรไทย ทั้งนี้คณะกรรมาธิการฯ เสนอให้รัฐพิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมในการสนับสนุนการรณรงค์บริโภคนมของประชาชนภายในประเทศ จาก 18 ลิตร/คน/ปี ให้เป็น 25 ลิตร/คน/ปี อีกด้วย
สมพงษ์ ปายรุ่ง รายงาน สระบุรี
Discussion about this post