ตามที่มีซากปะหลัก หักพัง ของพระอุโบสถวัดสองแควล่าง ในพื้นที่ภัยพิบัติน้ำป่า หมู่ 7 บ้านสองแคว ตำบลป่าสัก อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ จากเหตุการณ์น้ำป่าเข้าทำลายเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2544 ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากหลายหมู่บ้านกว่า 40 ศพ นอกจากนี้ยังมีซากวัวควาย ไหลมากองอยู่ริมลำห้วยสรอย ชายทุ่งนาเหนือวัดแห่งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวที่สุดในประวัติการเกิดภัยพิบัติของจังหวัดแพร่ในครั้งนั้น
พื้นที่เหล่านี้เดิมเป็น”ชุมชน” และร่องรอยทางประวัติศาสตร์การเดินทัพของเจ้าหมื่นด้งนคร โอรสเจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ เพื่อเดินทัพเข้าตีอาณาจักรสุโขทัย เป็นที่พักทัพแหล่งประวัติศาสตร์ที่ยังมีร่องรอยอยู่ หลังเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ ทำให้ทางราชการประกาศให้เป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติ และมีนโยบายอพยพ”หมู่บ้านและวัด” ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ทำให้ชุมชนเก่าแห่งนี้ กลายเป็นสถานที่ถูกทิ้งร้างในพื้นที่ของชาวบ้านได้เปลี่ยนจากที่อยู่อาศัยมาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมริมลำห้วยแม่สรอยแทน
นางสาวฐานวีร์ อุตะมะ อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 23/1 หมู่ 7 ตำบลป่าสัก อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ในนาม “กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่” ในหมู่บ้าน กล่าวว่า พื้นที่ภัยพิบัติพร้อมกับวัดสองแควล่าง ที่กลายเป็นวัดร้าง เป็นสถานที่ชุมชนที่ถูกละทิ้ง ความจริงแล้วพื้นที่เหล่านี้ มีความสำคัญมาก สำหรับประวัติศาสตร์ชุมชน รวมทั้งประวัติภัยพิบัติน้ำป่าครั้งใหญ่ของจังหวัดแพร่ กลุ่มคนรุ่นใหม่จึงคิดที่จะมีการฟื้นฟูบริเวณนี้ให้กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชน เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจเพราะร่มเย็นและติดกับลำห้วยสรอยที่มีน้ำไหลตลอดปี ยังเป็นแหล่งปลูกพืชแบบอินทรีย์ และความสงบเงียบที่เหมาะกับกิจกรรมทางศาสนาในบริเวณวัดเก่าแห่งนี้
นอกจากนั้น ยังมีชาวบ้านที่เผชิญกับเหตุการณ์สามารถเล่าถึงพิษภัยของภัยพิบัติ ยังมีชีวิตอยู่
นายจอม วังเมา อายุ 66 ปี ชาวบ้านที่เผชิญกับเหตุการณ์สามารถเล่าถึงพิษภัยของภัยพิบัติ บอกว่า หน่วยราชการยังไม่ให้ความสำคัญ จึงของวิงวอนไปยังนักการเมืองที่กำลังหาเสียงอยู่ในขณะนี้ เมื่อใครชนะเลือกตั้งเข้าไปบริหาร น่าจะกลับมาฟังเสียงประชาชนและให้การพัฒนาบริเวณวัดร้างแห่งนี้ เป็นพื้นที่เรียนรู้อย่างน้อยก็จะกลายเป็นจุดศึกษาดูงาน ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาอาจทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่เห็นความสำคัญของร่องรอยประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชุมชน แนวคิดของกลุ่มเยาวชนดังกล่าว ยังไม่มีเสียงตอบรับจากผู้นำหมู่บ้านและทางราชการมากนัก เยาวชนจึงมีแนวคิดร่วมกันฟื้นฟูด้วยพลังของตนเอง ซึ่งการแพร่กระจายความคิดผ่านสื่อสาธารณะน่าจะทำให้ฝันของพวกเขาเป็นจริงได้
ธีรพงษ์ ธงออน/แพร่
Discussion about this post