พช.นครพนม จัดกิจกรรมเฉลิมพระ เกียรติเนื่องในวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา

วันที่ 5 ม.ค.65 นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม มอบหมายให้ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนม จัดกิจกรรมเฉลิม พระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โดยมีกิจกรรม ประกอบด้วย จัดโต๊ะหมู่บูชาพระฉายาลักษณ์พร้อมทั้งจัดให้มีสมุดลงนามถวายพระพร ตลอดจนจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ และประชาสัมพันธ์เชิญชวนแต่งกายด้วยผ้าลายพระราชทาน “ผ้ามัดหมี่ ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ไปยังทุกส่วนราชการ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ สถานศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้บังเกิดผลโดยพร้อมเพรียงกันทั้งจังหวัด ระหว่างวันที่ 5 – 8 มกราคม 2565 ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม (หลังใหม่) ชั้น 1

นายสุรพล แก้วอินธิ พัฒนาการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า “เนื่องในโอกาสวันที่ ๘ มกราคม 2565 เป็นวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา จังหวัดนครพนม สำนึกในพระกรุณาธิคุณสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงมีต่อปวงพสกนิกร ทรงมุ่งมั่นที่จะสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระ บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาหัตถกรรมไทย ให้ดำรงอยู่ยั่งยืนตลอดไป ทรงพระ ราชทานแบบลายผ้า ชื่อลาย “ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” แก่พสกนิกรชาวไทย อันเป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัดถึงพระปรีชาสามารถในด้านการออกแบบ เกิดความเชื่อมั่นว่าความงดงามของผ้าไทยจะคงอยู่คู่กับสังคมไทย ทรงพระราชทานลายผ้าบาติก 3 ลาย “ปาเต๊ะร่วมใจเทิดไท้เจ้าหญิง” “ท้องทะเลไทย” และ “ป่าแดนใต้” ที่พระองค์ได้แรงบันดาลพระทัยจากการเสด็จไปทอดพระ เนตรงานศิลปหัตถกรรมจากภูมิ ปัญญาพื้นถิ่นในภาคใต้หลายครั้ง ทรงพบเห็นวิถีชีวิตและธรรมชาติของภาคใต้ ที่มีเอกลักษณ์ เพื่อพระราช ทานให้กับช่างฝีมือบาติกเป็นของขวัญตอบแทนมิตรภาพและความจริงใจ ที่ประชาชนชาวภาคใต้มอบให้กับพระองค์ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าของผลิตภัณฑ์ด้วยเรื่องราวและความหมายชวนประทับใจเป็นการยกระดับผ้าไทยให้มีความร่วมสมัย สามารถก้าวสู่ระดับสากล เพื่อวิถีชุมชนที่ยั่งยืนเปรียบดังแสงสว่างแห่งวิถีความงดงามของอัตลักษณ์ไทย นำทางให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนเศรษฐกิจฐานราก อันเป็นพลังที่จะสืบสาน ความเป็นไทยให้คงอยู่สืบไป”.