ทนายความ ที่ยะลา ชี้ ปลดล็อก “กัญชา” มีผลดีและผลเสีย อยู่ที่การประชาสัมพันธ์กับชาวบ้านให้ถูกต้อง  

วันนี้ 9 มิ.ย.65 ผู้สื่อข่าวได้เข้าสัมภาษณ์ นายธีรยุทธ เบญจเดชา ทนายความ ที่อยู่ในพื้นที่ จ.ยะลา ในเรื่องของการ “ปลดล็อกกัญชา” ออกจากยาเสพติดจะมีผลบังคับใช้ ในวันนี้  นายธีรยุทธ เบญจเดชา ทนายความ กล่าวในเรื่องนี้ว่า ตนเองในฐานะเป็นทนายความ เมื่อทางศาลจะออกหมายปล่อย ผู้ต้องขังคดีเกี่ยวกับ “กัญชา” ตนเองเชื่อว่าทางภาครัฐต้องมีกรอบของมัน พอมีกรอบในจุดนี้แล้ว ในด้านของภาคธุรกิจ หรืออะไรก็ตาม ก็จะต้องมีการเดินตามกรอบ ให้ถูกต้อง ฉะนั้นกรอบที่มีการสร้างเอาไว้ ก็ไม่ได้ยากอะไรมากมาย เบื้องต้นชาวบ้านไม่เข้าค่อยเข้าใจ ก็ต้องมีหน่วยงานผู้เกี่ยวข้องในการดูแลตรงนี้ ออกมาประชาสัมพันธ์ ออกมาพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ ให้มีความเข้าใจในการลงสมัครว่าเป็นอย่างไง อย่างเช่นที่มีการปลดล็อคกัญชา ในครั้งนี้ ชาวบ้านที่จะปลูกกัญชา จากบริโภคยังไง ก็ต้องขออนุญาต แต่ทำเป็นธุรกิจ ปริมาณเท่าไหร่ อย่างไร ในข้อที่เขาได้วางกรอบอยู่แล้วว่าการปลูกกัญชาแล้ว จะมีการสกัดออกมา ก็จะมีการสกัดสารออกมาไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว คือ 0.2 เปอร์เซ็นต์ หรือจะมีการขยายพันธุ์กัญชา ต้องขออนุญาตกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขั้นตอนในการขออนุญาต ชาวบ้านเองก็จะรู้ต้องเรียนรู้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ต้องมาเผยแพร่ให้กับชาวบ้านให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถ้ามองในการลงทะเบียนมันก็ยุ่งยากในเมื่อเพิ่งออกกฎหมายใหม่ต้องเรียนรู้ไป ส่วนตนเองไม่ค่อยถนัด เมื่อมีทีมงานก็ต้องเรียนรู้กันไป เทคโนโลยีขึ้นมาใหม่ มันก็ไม่ยากถ้ามองคนดีผลเสีย ตนเองคิดว่าผลดีก็ยังมีอยู่ ผลเสียมันก็มี ดังนั้นอยู่ที่การใช้การบริโภคมากกว่า อย่างน้อยผลดีคือชาวบ้านจะมีรายได้มากขึ้น ทำธุรกิจต้องเดินตามกรอบของมันกัญชาเป็นยารักษาโรคมะเร็ง คือ กัญชา นั้นปัจจุบันนี้มีการปลดล็อก แล้ว ถ้ามีการแปรรูปอันนี้ก็มีความผิด ผู้บริโภคไม่เป็นไรแต่คนที่นำไปแปรรูปต้นขั้วจากธรรมชาติมาผิดธรรมชาติ อย่างเช่นมีการประสมปรุงแต่ง มีการแปรสภาพจากของเดิมมาเป็น วัตถุดิบบดกันละเอียด หรือสกัดออกมาไม่เหมือนแบบเดิม แบบนี้คือการแปรรูปแล้วตรงนี้คนที่แปรรูปเป็นผู้มีความผิดแต่เรานำไปสูบไม่เป็นไร