สภาพระเครื่องพระบูชาไทย-อาเซี่ยน ร่วมกับวัดถ้ำบาดาล จัดสร้างพญานาคองค์ดำคำแสนสิริจันทรานาคาธิบดี รุ่นแสนทรัพย์นาคราช ภายใต้แนวคิดเด็กอยากเรียนต้องได้เรียน และคำว่าคุณไม่ได้แค่พระ แต่คุณมีส่วนร่วมในการให้การศึกษา

 ผู้สื่อข่าวรายงานที่วัดถ้ำบาดาล  ต.ลำพญากลาง  อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี  สภาพระเครื่องพระบูชาไทย อาเซี่ยน ร่วมกับวัดถ้ำบาดาล โดยมี หลวงพ่อแก้วหรือพระธนภณ อริยวํโส เจ้าอาวาสวัดถ้ำบาดาล และดร.ประกาย ณ สงขลา นายกสภาพระเครื่องพระบูชาไทย อาเซี่ยน ร่วมกับ ดร.ปฐพร ตวิษาประกิต จัดพิธีอัญเขิญและบวงสรวง พญานาคองค์ดำคำแสนสิริจันทรานาคาธิบดี ประดิษสถานบนแท่นประทับพร้อมทั้งเปิดจอง พญานาคองค์ดำคำแสนสิริจันทรานาคาธิบดี รุ่นแสนทรัพย์นาคราช โดยมีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

 ดร.ปฐพร ตวิษาประกิต กล่าวว่า โครงการนี้เราตั้งขึ้นมาเพื่อการศึกษาและส่งเสริมพระพุทธศาสนา ซึ่งอันดับแรกจะมีในเรื่องของการบูรณะปฎิสังขร สิ่งปลูกสร้างของวัดถ้ำบาดาล และจัดหาทุนการศึกษาให้กับเด็กที่ไม่จบการศึกษา ทั้งสายสามัญในระดับภาคบังคับ และมีในเรื่องของกิจกรรมโรงเรียนเทพนพรัตน์วิทยาคม ของดร.ประกาย ณ สงขลา และก็มีโรงเรียนโพธิวัฒน์วิทยา ที่จังหวัดนครนายก เป็นโรงเรียนของ ท่าน ผอ.จติพล แก้วคำ และเราจะจัดหาอาชีพให้แก่ผู้ด้อยโอกาส ที่เขาไม่สามารถจะศึกษาต่อได้ เราก็จะจัดหาอาชีพที่เป็นวิชาชีพเฉพาะตน เช่น เปิดร้านข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบ ซึ่งลักษณะของเราจะทำเป็นซุ้ม เป็นรถให้เขามีอาชีพติดตัว และหาเลี้ยงตัวเองได้ จะได้ไม่เป็นภาระของสังคม ในขณะเดียวกันเราจะจัดหาที่ดินและสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อรองรับโครงการป้องกันและลดการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนภาคเอกชน ที่จังหวัดนครนายก

 จริงๆแล้วตนเองเป็นเจ้าของโครงการป้องกันและลดการกระทำความผิดในภาคเอกชน ซึ่งเราทำโครงการนี้มาประมาณ 8 ปีแล้ว แต่ว่าติดปัญหาเรื่องเงินทุน ก็เลยคิดว่าเราต้องการที่จะเปลี่ยนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้การมาเป็นทุนการศึกษา เพราะฉะนั้นโครงการที่เราสร้าง พญานาคองค์ดำคำแสนสิริจันทรานาคาธิบดี ขึ้น  ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักตามที่กล่าวไปแล้ว และข้อสุดท้ายที่เราตั้งใจมากที่สุดคือ เราจะสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนทางด้านคดีความ และให้ความรู้ทางด้านกฎหมาย เพราะเรามีความรู้สึกว่า สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ในเรื่องคดีความเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยาก ละเอียด และซับซ้อน ซึ่งจริงๆแล้วเราควรจะป้องกันมากกว่า ที่จะไปเดินตามแก้ปัญหา ตรงนั้นตนเองมองว่ามันยาก ซึ่งอย่างที่เราบอก ป้องกันและลดการกระทำความผิด เราจะต้องทำควบคู่กันไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ และอย่างที่ตนนำเรียนให้ทราบว่า การศึกษาของไทย เด็ก 1 คน จะจบปริญญาตรีได้ต้องใช้เงินถึง 2 แสนบาท เพราะฉะนั้นเราต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลมาก เราจะไปแจกทุน 500 1,000 หรือว่า 10,000 บาท  ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เด็กจบการศึกษาได้ ดังนั้นในเรื่องของการจัดสร้างวัตถุมงคล เรามีทีมงานทั้งหมด 32 คน และจะเห็นได้ว่าองค์ดำแสนสิริฯ ที่เราสร้างวัตถุมงคลมา ในราคานี้เลย มูลค่าในการจองบูชา เพราะฉะนั้นตนจะเปิดจองในราคานี้ แค่วันที่ 23 ธันวาคม 2566

 ตนเองเป็นทนายความ และเชื่อว่าภาครัฐของประเทศเรา ถ้าให้พูดตรงๆมันเป็นไปด้วยกฎระเบียบข้อบังคับ และก็ล่าช้า ซึ่งในขณะเดียวกันตนก็ไม่ได้มีเงินทุนอะไรมากมาย การที่เขาเอาเด็กเข้าไปอยู่ในสถานพินิจ ก็ไม่ได้มีการจัดการศึกษาให้เต็มระบบ  จริงๆตนก็ไม่ได้อยากจะก้าวข้ามใคร และให้คิดว่าตนเป็นส่วนหนึ่งที่เดินไปข้างๆดีกว่า เพราะเราบอกแล้วว่า เราทำโครงการป้องกันและลดการกระทำความผิดในส่วนของภาคเอกชนที่เราอยากจะช่วยเหลือภาครัฐหรือแบ่งเบา ซึ่งตนเชื่อว่าการทำงานของตน คล่องตัวกว่า เช่น ตนไม่ต้องขออนุญาตใครในการจัดสร้าง ตนทำในสิ่งที่ตนเชื่อว่า เป็นเรื่องที่ดีของสังคมและทุกคนยอมรับได้ในสิ่งที่ตนทำ จะเห็นว่า ถ้าเราทำมาจากเรื่องอื่นๆ เช่น เอาไปสร้างอย่างเดียว โดยไม่ได้มีเรื่องของการศึกษาเข้ามาเกี่ยวข้อง ตนเชื่อว่าโครงการของตนจะไม่ได้รับความสนใจมากมายขนาดนี้  เพราะตนถือว่าการศึกษาเป็นเส้นเลือดใหญ่ เป็นความสำคัญที่สุด ถ้าเด็กเรามีการศึกษา เขาจะไม่เป็นภาะของสังคม เขาจะหาเลี้ยงตัวเองได้  ในขณะเดียวกัน เขาก็จะช่วยเหลือดูแลครอบครัวเขาได้  ส่วนหนึ่งตนเองส่งเสริมอย่างหนักเลย ก็คือ จะให้เขาศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ มหาลัยรามคำแหง  ซ฿งตนสนับสนุนที่แห่งนี้อยู่  และจะให้เขาเรียนภาคค่ำ หรือว่าภาคพิเศษ ที่รามคำแหงสาขาปราจีนบุรี และการที่เรียนรู้กฎหมาย ซึ่งกฎหมายเรียนง่าย ไม่ได้เรียนยาก  ไม่มีการคำนวณ ไม่มีภาษาอังกฤษ ที่ทำให้เขาเรียนลำบาก เป็นเรื่องของความเข้าใจ เป็นเรื่องของความจำ เพียงแต่ว่าเขาต้องเปิดใจสักนิดนึง เราถูกทำให้กลัวในเรื่องของกฎหมาย และเขาอาศัยความไม่รู้ของพวกเรานี่แหละทำให้เกิดปัญหา ซึ่งหลายๆครั้ง ถ้ามันเกี่ยวข้องกับตรงนี้ ในฐานะที่ตนเป็นทนายความ  ก็ไม่ได้อยากจะกล่าวล่วงละเมิดใคร ไม่ได้มีเจตนา แต่อยากนำเสนอในมุมของตัวเองว่า ตนเป็นทนายความมา 8-9 ปี ตนเจอปัญหานี้มาโดยตลอด  ปัญหาความไม่รู้ และกระทำผิดโดยที่เขาไม่รู้ เพราะถ้าเขารู้แล้ว มันอาจจะลดการกระทำความผิดได้ตามที่เราตั้งใจจริงๆ ตอนนี้ตนทำมา ซึ่งยังไม่ได้เปิดเป็นตัวโครงการอย่างแท้จริง ถ้าคนไหนที่เขาอยากได้การศึกษาหรือการสนับสนุน เราก็ช่วยอยู่ แต่เราไม่ได้เปิดเผยว่าใครบ้าง เพราะจริงๆแล้วเราอยากจะช่วย แต่ว่าการที่เราทำโครงการนี้ขึ้นมา มันจะได้เป็นรูปแบบที่ชัดเจนมากขึ้น

หิรัญยวัต อธิวัฒน์เดชากร / สระบุรี