เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 16 มกราคม 2567 ที่สำนักงานทนายความคู่ใจ ถ.แจ้งวัฒนะ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นางสาวธัญวรินทร์ ภักดี อายุ 38 ปี อาชีพค้าขาย นำเอกสารหลักฐานเข้าร้องเรียนกับทนายรณรงค์ แก้วเพ็ชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เพื่อให้ช่วยเหลือหลังจากนางสาวบุศกร แตงอ่อน อายุ 57 ปี (แม่ผู้เสียหาย) ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แล้วหมอวินิจฉัยโรคผิดพลาดทำให้เป็นผู้ป่วยติดเตียง
นางสาวธัญวรินทร์ ภักดี อายุ 38 อาชีพค้าขาย กล่าวว่า เมื่อกลางปี 2563 ตนได้พาแม่ที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พอไปถึงหมอให้นอนโรงพยาบาล มีพยาบาลมาสอบถามอาการและวัดไข้ โดยแม่มีอาการปวดท้องอาเจียนทานอะไรไม่ได้ โรงพยาบาลจึงได้พาแม่ของตนไปสแกนท้อง เนื่องจากสงสัยว่าอาจจะเป็นโรคนิ่วในท้อง วันรุ่งขึ้นทางหมอมาตรวจ แจ้งอาการกับตนว่าไม่น่าจะเป็นอาอารของโรคนิ่วในท้องคาดว่าน่าจะเป็นไข้เลือดออก เลยเจาะเลือดแม่ไปตรวจ ซึ่งแม่ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลต่อ มีพยาบาลคอยมาวัดความดัน

จนกระทั่งวันที่ 18 มิ.ย.67 แม่ของตนบ่นว่ามีอาการปวดหัวรุนแรง จึงได้สอบถามจากพยา บาลที่ดูแลแม่ว่าจะต้องทำยังไงต่อ ทางพยาบาลตอบว่าเป็นอาการปกติของผู้สูงอายุ กระทั่งตอนเย็นแม่ไปเข้าห้องน้ำ ขณะเดินกลับมาที่เตียงคนไข้ได้ล้มหมดสติ จนตกใจจึงได้รีบเรียกหมอกับพยาบาลให้มาดูแม่ ซึ่งหมอที่มาดูเป็นหมอเวรไม่ใช่หมอที่รักษาแม่มาก่อนหน้านี้ หมอคนดังกล่าวถามตนว่าแม่เป็นอะไรทำไมถึงป่วยรุนแรงขนาดนี้ หลังจากนั้นได้ส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าหมอได้นำแม่สแกนสมอง พบว่าเส้นเลือดในสมองซีกซ้ายแตก ทางหมอได้ออกมาถามตนว่า ทำไมปล่อยให้แม่เป็นหนักขนาดนี้ถึงพามา รักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งตนตอบหมอไปว่าตนไม่รู้ คุณหมอเลยถามพยาบาลที่มาด้วย พยาบาลตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน ทางหมอได้ถามตนว่าจะผ่า ตัดแม่ไหม มีความเสี่ยงสูงถึง 70% ตนเลยอนุญาตให้ผ่าตัด หลังแม่เข้าผ่าตัด ทางตนทราบจากหมอว่าแม่เป็นเส้นเลือดสมองแตก
วันรุ่งขึ้นจึงได้เดินทางกลับไปที่โรงพยาบาลแรก สอบถามคุณหมอว่าเป็นเส้นเลือดแตกในสมองทำไมทางโรงพยาบาลวินิจฉัยโรคไม่ถูก ซึ่งก่อนหน้านี้ทางแม่บอกแล้วว่าปวดหัวมีการวัดความดันตลอด ทางโรงพยาบาลได้นำหลักฐานมาดูพบว่ามีความดันเกิน 200 ทุกครั้งที่วัด แต่ทางโรงพยาบาลไม่รักษาให้ถูกอาการ ตนจึงได้เดินทางร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานจนมาที่สาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี สสจ. จังหวัดนนทบุรี บอกกับตนว่าทางโรงพยาบาลมีมูลความผิด ซึ่งทางสสจ.จังหวัดนนทบุรี ได้ช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 เป็นจำนวนเงิน 240,000 บาท โดยมีข้อแม้ว่าทางผู้เสียหายจะต้องเซ็นสัญญาไม่ฟ้องร้อง และไม่ดำเนินคดีต่อ เนื่องจากตนไม่มีเงินมารักษาจึงได้ตกลงรับเงิน ทั้งที่แม่ของตนค้า ขายได้เดือนละ 40,000 – 50,000 บาทแต่กลับต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียงจนถึงทุกวันนี้ ต้องให้อาหารทางท่ออาหาร ทุกวันนี้ต้องจ้างคนมาดูแลแม่เดือนละ 30,000 บาทไหนจะอุปกรณ์ ในการรักษา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงจึงได้ติดต่อกลับไปที่ผอ. โรงพยาบาลแห่งแรก เพื่อให้เพื่อให้ช่วยเหลือเพิ่มเติม
ทางผอ. โรงพยาบาล บอกว่าเพิ่งรับตำแหน่งได้ 2 เดือน ยอมรับว่าลูกน้องของตนทำงานบกพร่อง ขอร้องไม่ให้ตนไปฟ้องร้องดำเนินคดีต่อ ฟ้องร้องไปทางโรงพยาบาลก็ไม่มี เงินเพราะเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กรับปากว่าจะรักษาพยาบาลตามอาการของคุณแม่ ตนเลยไม่พอใจวันนี้เลยเดินทางมาร้องทนายรณรงค์เพื่อให้ช่วยเหลือ
ทางด้านทนายรณรงค์ กล่าวว่า ถ้ามีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ ที่เป็นเจ้าพนักงานของรัฐประมาทเลินเล่อและเป็นการละเมิด ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้สู่สภาพเดิม ค่ารักษาพยาบาลค่าขาดประโยชน์ กระทรวงสาธารณสุขต้องจ่ายถึงจะเป็นการใช้บัตร 30 บาทก็ตาม เบื้องต้นวันนี้อยากจะเรียกร้องไปถึงกระทรวงสาธารณสุข ว่ามีมาตรการที่รับผิดชอบได้จริงไหม ไม่ใช่ว่าจ่ายแล้วจบซึ่งมันไม่พอ ไม่อยากให้คนอื่นมาเจอแบบนี้อีกที่ต้องมารอผลเลือด 5 วันพอวันที่ 5 เส้นเลือดในสมองแตกมันคงไม่ใช่ หลังจากนี้คงต้องไปที่กระทรวงสาธารณสุขอีกครั้งว่าจะมีมาตรการแก้ไขอย่าง ไร.
Discussion about this post