
มูลนิธิวัดชื่อดังใน จ.ร้อยเอ็ด มอบอำนาจทนายความ ร้องธนาคารดังหลังตรวจสอบพบ
เอาเงินในบัญชีลูกค้าไปหมุนเวียนในกลุ่มธุรกิจการเงินของตน เผยทำเป็นขบวนการ
นายพงษ์ศักดิ์ บุญใหญ่ ประธานกรรมการสภาทนายความภาค 4 ประจำจังหวัดสกลนคร
เปิดเผยว่าตนและทีมทนายความได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิวัดแห่งหนึ่ง ใน จ.ร้อยเอ็ด ให้ดำเนินการเอาผิดต่อธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่ง กับพวกฐานวางแผนถอนเงินออกจากบัญชีมูลนิธิฯ ไปซื้อหน่วยลงทุนของบริษัทลูก และนำไปซื้อกรมธรรม์หรือชำระเบี้ยประกันชีวิตรวม 268 กรมธรรม์ ของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งบริษัททั้งสองเป็นบริษัทลูกของธนาคาร โดยในระยะเวลาที่ตอเนื่องกัน 10 ปี มีการกระทำเสมือนหนึ่งบัญชีของมูลนิธิทั้งสอง เป็นบัญชีของพนักงานและธนาคาร ด้วยการนำเงินทั้งจากบริษัทลูกโอนกลับเข้าบัญชีของมูลนิธิทั้งสอง แล้วถอนออกไปซื้อหนวยลงทุนและชำระเบี้ยประกันชีวิตซ้ำวนเวียนกันเขาออกไป-มาหลายครั้ง ในลักษณะของการกระทำเป็นปกติธุระ ซึ่งเขาข่ายเป็นการ
ฟอกเงินตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
“การกระทำของพนักงานและ
ธนาคารดังกลาว เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือขัดต่อวัตถุประสงค์และข้อบังคับของมูลนิธิทั้งสอง
ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 110 วรรคหนึ่ง และมาตรา 863 ฝ่าฝืนแนวนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ ธปท. ฝนส.(13) ว.1889/2555 เรื่อง การนำส่งแนวนโยบายการกำกับดูแลการ
ขายผลิตภัณฑ์ด้านหลักทรัพย์และด้านประกันภัยผ่านธนาคารพาณิชย์ ฝ่าฝืนประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกส. 1/2561 และที่ สกส.2 4/2563 เรื่อง การบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม
(Market Conduct) นอกจากนี้ ยังเป็นความผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคสอง ฝ่าฝืน พรบ.ประกันชีวิตฯ มาตรา 33(15) มาตรา 53 และมาตรา 56 พรบ.หลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 306 และ พรบ.ป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน ฯ
ทำให้มูลนิธิทั้งสองได้รับความเสียหายเป็นเงินกวา 800 ล้านบาท มูลนิธิทั้งสองได้มอบอำนาตให้ยื่นฟ้องเป็นคดีผูบริโภคแล้ว ต่อศาลจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 309/2568
“ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่พนักงานธนาคารและธนาคาร กับบริษัทลูกทั้งสองกระทำความเสียหายในคดีนี้ มูลนิธิทั้งสองไม่สามารถใช้เงินดอกผลของมูลนิธิและไม่มีเงินดอกผลเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากบัญชีของมูลนิธิทั้งสองอยู่ในการครอบครองของพนักงานธนาคารกับพวก ในทางตรงกันข้ามธนาคารฯและบริษัทลูก ตลอดจนพนักงานธนาคารกลับได้ประโยชน์จากการนำเงินของมูลนิธิไปหมุนเวียนในกลุ่มธุรกิจของตนอยางมากมายมหาศาล โดยไม่ได้ลงทุนลงแรงแต่อยางใด อันเป็นการทำธุรกรรมที่เอาเปรียบผู้บริโภค ส่งผลให้บริษัทแม่ คือธนาคารและบริษัทลูกได้รับประโยชน์ นอกจากนี้ ยังทำให้พนักงานของสถาบันการเงินดังกล่าวได้ประโยชน์จากการถอนเงินและทำธุรกรรม อันเป็นการให้สินเชื่อหรือการทำธุรกรรมกับผู้ที่เกี่ยวของกับบริษัทแม่ บริษัทลูก หรือบริษัทรวมได้รับประโยชน์ซึ่งถือวาเปนการให้สินเชื่อหรือการทำธุรกรรมกับบริษัทด้วย ตามพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 มาตรา 59 (3) เนื่องจากการถอนเงินและการทำธุรกรรมดังกล่าว มีหลักฐานชัดแจ้งตามรายการเดินบัญชีหรือ Statement ตลอดจนหลักฐานเกี่ยวกับการซื้อหน่วยลงทุนและการซื้อกรมธรรม์ ดังนั้นแม้มูลนิธิทั้งสองได้
ยื่นฟองเรียกเงินคืนเป็นคดีดังกล่าวก็ตาม แตก็เป็นการใช้สิทธิ์ทางศาลของมูลนิธิในฐานะผู้บริโภคและได้รับความเสียหาย อันเป็นสิทธิ์ ที่ได้รับการคุ้มครองโดยชอบตามรัฐธรรมนูญและบทกฎหมายที่เกี่ยวของ ส่วนมาตรการทางปกครองหรือทางวินัยอันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบที่ธนาคาร และบริษัทลูก
ทั้งสองมี่อยูตามบทกฎหมายโดยเฉพาะก็ควรดำเนินมาตรการควบคู่กันไปโดยเร่งดวน เพื่อเป็นการลงโทษ”
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ค.2568 ได้ไปยื่นหนังสือต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอนแก่น) ในฐานะองคกรที่มีบทบาทหน้าที่ในการบริหารและดูแลรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ รวมทั้งมีอำนาจหนาที่ในการกำกับ
ดูแลธนาคารพาณิชย์ ให้ดำเนินการตรวจสอบ สอบสวนแล้วดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตาม พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินฯ มาตรา 90 อนุมาตรา (1) ที่บัญญัติวา “มีคำสั่งให้สถาบันการเงินแก้ไขฐานะหรือการดำเนินงาน และ อนุมาตรา (5) ที่บัญญัติวา มีคำสั่งควบคุมสถาบันการเงิน หรือ มีคำสั่งปิดกิจการของสถาบันการเงินนั้น ซึ่งในวันเดียวกันนั้น ผู้รับมอบอำนาจของมูลนิธิทั้งสองยังได้ยื่นหนังสือลักษณะเดียวกันต่อ สำนักงาน คปภ.ร้อยเอ็ด และในวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 นี้จะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรรมาธิการการเงินการคลังสภาผูแทนราษฎรและวุฒิสภา เพื่อให้ตรวจสอบและศึกษากรณีดังกลาว ทั้งนี้ การถอนเงินและการทำ
ธุรกรรมกับบริษัทลูกมีหลักฐานปรากฏชัดแจ้งอยูแล้วว่า เงินของมูลนิธิทั้งสองถูกถอนออกไปวันเวลาใด จำนวนเท่าใดและทำธุรกรรมประเภทไหน อย่างไร ดังนั้น การเรียกร้องให้ธนาคาร คืนเงินแก่มูลนิธิโดยเร็ว โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาของศาล จึงหาใช่เป็นการกระทำที่ปราศจากเหตุผลไม่
///////////////// วัฒนะ แก้วก่า/สกลนคร 0819541528