ปฏิบัติการจับกุมหนุ่มชาวโปรตุเกส นักต้มตุ๋นระดับพระกาฬ เป็นที่ต้องการตัวในหลายประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเชียในครั้งนี้ ได้ถูกเปิดเผยขึ้น หลังจากที่ชุดสืบสวนจากกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.)ได้รับทราบข้อมูลของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ซึ่งได้พบและจดจำตำหนิรูปพรรณได้ นับเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี ของนักต้มตุ๋นชื่อดังชาวโปรตุเกส ซึ่งผู้สื่อข่าวต่างประเทศของสำนักพิมพ์ท้องถิ่นโปรตุเกส เคยมีรายงานว่า บุคคลดังกล่าวได้เข้ามากบดานในประเทศไทยโดยผิดกฎหมายและน่าจะได้ก่อคดีฉ้อโกงทรัพย์และเป็นบุคคลที่มีหมายจับในประเทศไทยด้วย
หลังจาก สตม.ได้ข้อมูลดังกล่าว “บิ๊กปู” พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. จึงได้สั่งการมอบหมายให้ พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. ควบคุมอำนวยการปฏิบัติการให้เป็นไปอย่างรัดกุม และให้ระดมสรรพกำลังทีมนักสืบในการติดตามจับกุม โดยได้มอบหมายให้กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่เมืองหลวง ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 พ.ต.อ.ปฏิญญา จีรชนาสิน รอง ผบก.ตม.1 พ.ต.อ.พลสิทธิ์ สุทธิอาจ ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 เป็นหัวหอกในปฏิบัติการ โดยทีมสืบสวนเริ่มต่อจิ๊กซอว์ด้วยการนำภาพใบหน้าของเป้าหมาย ที่สื่อโปรตุเกส มีการตีข่าวอย่างใหญ่โต มาเปรียบเทียบในระบบไบโอเมตริกซ์ จนสามารถยืนยันตัว บุคคลต่างด้าวเป้าหมายได้ว่าคือ นายคาร์ลอส ลาโปโซ่ (Carlos Laposo) อายุ 39 ปี เกิดที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส จากการตรวจสอบข้อมูลด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่าเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตั้งแต่ปี พ.ศ.2566 ในฐานะนักท่องเที่ยว ก่อนจะก่อคดีฉ้อโกงโดยหลอกลงทุนบิตคอยน์ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มูลค่าความเสียหายกว่า 1 ล้านบาท แต่จากการตรวจสอบพบว่าคดีดังกล่าว ได้มีการถอนหมายจับออกจากระบบ ก่อนที่ต่อมา นายคาร์ลอส ลาโปโซ่ ได้หนีไปหลบซ่อนตัวในพื้นที่ภาคใต้และหายตัวไปจากสารบบ ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไม่มีการขอต่อวีซ่า หรือแจ้งที่พักอาศัย เป็นเวลาเกือบ 2 ปี

จนกระทั่ง เมื่อในวันที่ 1 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา ชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ รอง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้รับเบาะแสสำคัญเนื่องจากมีชาวโปรตุเกส ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวอ้างว่าได้พบตัวนักต้มตุ๋นรายนี้ กลางกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ จึงรีบลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดหลายจุดในบริเวณที่มีการอ้างถึงและได้พบเห็นจุดสุดท้ายบริเวณ ถ.พระราม 1 ใกล้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดัง จึงได้นำกำลังตำรวจชุดสืบสวนกว่า 10 นาย แฝงตัวลงพื้นที่ค้นหาในห้างสรรพสินค้า จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. กว่า 5 ชั่วโมง นับจากได้เบาะแส ความพยายามของชุดสืบสวนก็เป็นผล เมื่อหนึ่งในเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ พบชายชาวต่างชาติตำหนิรูปพรรณตรงกับเป้าหมายกำลังยืนโทรศัพท์อยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จึงส่งสัญญาณให้ทีมสืบสวนเข้าแสดงตัว โดยแสดงบัตรเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดู พร้อมทั้งขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบการตรวจลงตราครั้งสุดท้ายคือเมื่อปี 2566 เบื้องต้นเจ้าตัวรับว่าอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดจริง เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” จับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการตรวจสอบประสานฐานข้อมูลตำรวจสากลพบประวัติก่อคดีต้มตุ๋นมาแล้วทั้งในประเทศโปรตุเกสเอง ในยุโรป ก่อนจะหลบหนีมาที่ฟิลิปปินส์และมาจนมุมที่ประเทศไทย มูลค่าความเสียหายรวมตามที่ผู้สื่อข่าวโปรตุเกสรายงาน ยอดเงินหมุนเวียนในบัญชีธนาคารในสวิสเซอร์แลนด์ กว่า 500 ล้านยูโร รูปแบบแผนประทุษกรรมมีทั้งฉ้อโกงโดยหลอกลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี่และฉ้อโกงบัตรเครดิต ปลอมแปลงหนังสือเดินทาง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม นายคาร์ลอส ลาโปโซ่ (Carlos Laposo) จะถูกดำเนินคดีและบันทึกชื่อเป็นบุคคลต้องห้าม ก่อนจะถูกส่งกลับไปยังประเทศโปรตุเกส ตามกฎหมายคนเข้าเมืองต่อไป
สมเกียรติ ทรัพย์เฉลิม รายงาน




































