
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 ธันวาคม 2568 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคาร A) ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ นายกฤษฎา อินทามระ หรือ “ทนายปราบโกง” พากลุ่มผู้เสียหายจำนวน 9 ราย เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานคณะกรรมการอัยการ (กอ.) ขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงต่ออัยการคดีแพ่งจำนวน 9 ราย
กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากอัยการทั้ง 9 ราย เข้าไปทำหน้าที่เป็นทนายความแก้ต่างให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ในคดีที่ผู้ร้องทั้ง 9 ราย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กทท. ฐานละเมิดและเรียกค่าเสียหายรายละ 4 ล้านบาท โดยผู้ร้องเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของอัยการเข้าข่ายให้การเท็จและส่งหลักฐานเท็จต่อศาล
นายกฤษฎา เปิดเผยว่า อัยการทั้ง 9 รายได้ปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการอัยการ พ.ศ. 2553 โดยเฉพาะการให้การเท็จในข้อสาระสำคัญของคดี ซึ่งสร้างความเสียหายโดยตรงต่อผู้ร้อง โดยเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 อัยการทั้ง 9 ราย ได้ยื่นคำให้การต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ในทำนองเดียวกันว่า กทท. ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับพนักงานเพียง 32 ราย และไม่ได้ร้องทุกข์ผู้ร้องทั้ง 9 รายแต่อย่างใด พร้อมแนบบัญชีรายชื่อผู้ถูกแจ้งความ 32 ราย ซึ่งไม่ปรากฏชื่อผู้ร้องรวมอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม นายกฤษฎา ระบุว่า จากการตรวจสอบพยานหลักฐานในคดีอื่น พบข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน โดยในคดีแรงงานของศาลแรงงานกลาง ซึ่งมีโจทก์ 384 คน ฟ้อง กทท. เรียกค่าล่วงเวลาที่จ่ายขาดไป อัยการสำนักงานอัยการสูงสุดได้ยื่นคำให้การต่อศาลเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ระบุว่า ดีเอสไอได้รวบรวมข้อเท็จจริงและพบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง ทำให้ กทท. ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับพนักงาน และโจทก์ทั้ง 384 คนตกเป็นผู้ต้องหาในคดีพิเศษ
ในบัญชีรายชื่อโจทก์ 384 คนดังกล่าว ปรากฏชื่อผู้ร้องทั้ง 9 รายรวมอยู่ด้วย และต่อมา กทท. รวมถึงดีเอสไอ ได้แถลงข่าวว่าสรุปสำนวนส่งให้ ป.ป.ช. โดยมีผู้เกี่ยวข้องกว่า 560 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 3,000 ล้านบาท
นายกฤษฎา ระบุว่า ข้อเท็จจริงจากคำให้การในคดีแรงงานพิสูจน์ได้ชัดเจนว่า ผู้ร้องทั้ง 9 ราย อยู่ในกลุ่มบุคคลที่ถูก กทท. ร้องทุกข์จนตกเป็นผู้ต้องหาแล้ว ดังนั้น การที่อัยการทั้ง 9 ราย ในคดีแพ่งยื่นคำให้การว่า กทท. ร้องทุกข์เพียง 32 ราย และส่งบัญชีรายชื่อดังกล่าวต่อศาล จึงเข้าข่ายเป็นการให้การเท็จและส่งพยานหลักฐานเท็จในสาระสำคัญของคดี
การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม ขาดความซื่อสัตย์ และอาจทำให้ศาลหลงเชื่อว่าผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอัยการ รวมถึงสร้างความเสียหายต่อผู้ร้องโดยตรง
ทั้งนี้ การยื่นหนังสือร้องเรียนในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประธานคณะกรรมการอัยการพิจารณาสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า อัยการทั้ง 9 ราย มีความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามกฎหมายหรือไม่
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการอัยการได้รับหนังสือร้องเรียนไว้แล้ว เพื่อนำเสนอต่อผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

