
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ผู้สื่อข่าว จ.สกลนคร ตระเวนไปตามทุ่งนาใน ต.ฮางโฮง และ ต.เชียงเครือ อ.เมือง จ.สกลนคร เพื่อดูบรรยากาศการปลูกข้าว พบว่าข้าวกำลังสุกงอมเหลืองอร่าม แต่ไม่ปรากฏว่ามีการเกี่ยวข้าวแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นคนเกี่ยวหรือว่าจ้างรถเกี่ยวก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากชาวนาเห็นว่าไม่คุ้มเพราะข้าวเปลือกมีราคาถูก เพีงกิโลกรัมละ 5 บาทเท่านั้น จึงพากันรอดูว่าจะมีการปรับราคาขึ้นไหม ทำให้ในพื้นที่มีการเกี่ยวข้าวเพียงร้อยละ 15% เท่านั้น จากจำนวนนาข้าวกว่า 8,000 ไร่ ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวยังได้พบกับ นายเกรียงศักดิ์ สาระนันท์ อายุ 36 ปี ชาวบ้านดอนเชียงคูณ ต.เชียงเครือ นั่งเฝ้าเครื่องสูบน้ำ 2 เครื่อง ที่กำลังสูบน้ำออกจากนาข้าว เนื่องจากข้าวกำลังออกรวงใกล้จะได้รับการเก็บเกี่ยว โดยนายเกรียงศักดิ์ บอกว่าปีนี้ข้าวราคาตก มิหนำซ้ำยังต้องจ้างเครื่องสูบน้ำมาสูบออกจากนาข้าว เสียค่าจ้างเครื่อง น้ำมันก็ยิ่งแพง ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอีก ไม่คุ้มค่าแต่ก็ต้องทำ อยากให้รัฐบาลพยุงราคาข้าวให้สูงขึ้นกว่าเดิมให้ชาวนาพออยู่ได้

ด้าน นางวันเพ็ญ เทพอ่อนอายุ 65 ปี บ้านเลขที่ 30 หมู่ 6 บ้านนาดอกไม้ ต.ฮางโฮง บอกว่า ราคาข้าวถูกลงมากจนจะอยู่ไม่รอดแล้ว ตนทำนา 10 ไร่ เป็นข้าวมะลิ 105 มีต้นทุนการผลิต คิดจาก 1 ไร่ ก็มีไถดะ 400 บาท ไถกลบ 400 บาทไถปั่น 500 บาท หว่าน 150 บาท เมื่อข้าวขึ้นมามีหญ้าก็ต้องจ้างตัดไร่ละ 150 บาท ไหนจะค่าปุ๋ยตกกระสอบละ 6-700 บาท เมื่อพอเก็บเกี่ยวต้องใช้รถเกี่ยวอีก ไร่ละ 700 บาท จะจ้างคนก็ไม่ไหวเพราะคิดวันละ 450 บาทต่อคน หากข้าวล้มก็อีกราคาหนึ่ง ข้าวแช่น้ำก็แพงขึ้นอีก ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงมาก หลังจากเกี่ยวมาแล้วต้องนำมาตาก ไม่มีที่ตากต้องนำมาตากที่โรงเรียนและต้องมานอนเฝ้ากลัวคนขโมย ปีนี้เห็นว่าราคาข้าวเปลือก กิโลกรัมละ 5 บาท ถูกมากจึงคิดว่าจะไม่ขาย คงรอให้รัฐบาลปรับราคาขึ้นอีก “แต่ก่อนมันพออยู่ได้ ไม่ใช่ชมนะนายกดีก็ดีเหมือนกันแหละบริหารประเทศก็ดีเหมือนกัน แต่ผลต่างก็เยอะ สมัยยิ่งลักษณ์กับทักษิณจะไม่เป็นอย่างนี้แบบเปรียบเทียบกันได้เลย ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วก้อยเปรียบเทียบกันได้ความต่างมันจะต่างกัน อยากให้รัฐบาลมีการตรึงราคาข้าว มีการประกันราคาข้าวขึ้นให้ได้มากกว่านี้หน่อย ถ้าอย่างนั้นก็เราก็อยู่ไม่รอด มันเหมือนกับเป็นการกดขี่ข่มเหงชาวนา” นางวันเพ็ญ กล่าว
/วัฒนะ แก้วก่า / สกลนคร
Discussion about this post