วันที่ 1 ธ.ค.64 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องทุกข์จากนางจำปี อินทหอม อายุ 55 ปี และนางสมร เชยรัมย์ อายุ 59 ปี 2 พี่น้อง ชาวบ้านบ้านโคกสูง ม.2 ต.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ ว่าได้รับความเดือดร้อน เรื่องที่ดินทำกิน หลังจากได้รับซื้อที่ดิน ส.ป.ก.จากผู้ที่นำมาขายให้เมื่อปี พ.ศ.2526 หรือเมื่อ 38 ปีที่แล้ว จำนวน 2 แปลง เนื้อที่รวมกันประมาณ 17 ไร่กว่า เป็นการดำเนินการตอนพ่อตนเองยังมีชีวิตอยู่ เพราะความสงสาร เนื่องจากผู้ขายมีความเดือดร้อนเรื่องเงิน และจะย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อื่นด้วย จึงรับซื้อไว้และได้ทำสัญญาซื้อ-ขาย จ่ายเงินให้พร้อมทั้งรับมอบเอกสารสิทธิ์จากผู้ขายมาเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย จากนั้นผู้ซื้อก็เข้าไปทำการเกษตรและบุกเบิกปรับพื้นที่จนเป็นที่นาที่สมบูรณ์ และทำกินจนถึงปัจจุบัน แต่แล้วจู่ๆก็มีคนนำรถแบคโฮเข้ามาขุดทำสระน้ำและปรับพื้นจะมาทำบ้าน โดยแสดงเอกสารสิทธิ์ว่าเป็นทายาท(เป็นลูกสาว)ของผู้ที่นำมาขายให้ เมื่อ 38 ปีที่แล้วมาแสดง พวนตนจึงได้นำเอกสารไปแจ้งคัดค้านที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดสุรินทร์ ขณะที่ทางสำนักงานการปฏิรูปที่ดิน ได้มีการเรียกสอบข้อเท็จจริง โดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านที่ทำกินข้างเคียง และผู้ทำกินในที่ดินดังกล่าว ซึ่งผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านที่ทำกินข้างเคียง ก็ให้ข้อมูลกับทาง สปก.ว่า พวกตนได้เข้ามาทำกินโดยการทำนาทุกปีตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมา และที่พวกตนรับซื้อที่ดังกล่าวไว้ เนื่องจากสงสารเขาที่กำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน และก็ไม่รู้ว่าที่ ส.ป.ก.ไม่สามารถซื้อ-ขายกันได้ เพราะไม่มีความรู้ เป็นเพียงแค่บ้านธรรมดาๆเท่านั้น จึงขอให้สื่อช่วยนำเสนอข่าวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้พวกตนด้วย
ผู้สื่อข่าวจึงลงพื้นที่ตามที่รับแจ้ง โดยผู้ร้องได้พาไปที่บ้านโคกผง ม.22 ต.ชุมพลบุรี อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ดินที่มีปัญหาจำนวน 2 แปลง โดยแปลงแรกเป็นของนางจำปี อินทหอม มีพื้นที่จำนวน 8 ไร่ 77 ตารางวา พบว่ามีการขุดสระน้ำนำดินขึ้นมาถมที่เตรียมจะปลูกบ้าน และมีการไถแปลงนาทั้งหมด ส่วนอีกแปลงไม่ห่างกันมากนัก เป็นของนางสมร เชยรัมย์ มีพื้นที่จำนวน 9 ไร่ 3 งาน 86 ตารางวา พบว่าถูกนำรถไถมาไถนา เตรียมหวานข้าวแล้ว ทั้ง 9 ไร่ และต้นยูคาต้นใหญ่ที่ปลูกไว้ถูกตัดหายไป 3 ต้น
จากการสอบถามนางจำปี อินทหอม และนางสมร เชยรัมย์ 2 พี่น้อง เล่าว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวพ่อได้ซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2526 และเมื่อปี 2530 เจ้าของที่ดินได้นำหนังสือถือครองสิทธิ์มาให้ และขอเงินเพิ่มไปอีก ในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าที่ดิน สปก.ไม่สามารถซื้อขายได้ ซี่งเจ้าของที่ก็บอกว่าไม่เอาคืนให้ทำกินไปเลย ซึ่งพ่อท่านก็แก่มากแล้วในขณะนั้น ที่ให้เงินไปเพราะสงสาร และพวกเขาก็จะย้ายไปอยู่ที่อื่นด้วย จากนั้นมาก็ทำกินมาตลอดกว่า 30 กว่าปีแล้ว ปรับสภาพพื้นที่จนทำนาได้ จู่ๆ เมื่อเร็วๆนี้ ก็มีหนังสือแจ้งมาว่า มีการขอเปลี่ยนชื่อผู้ถือครอง เพราะพ่อเขาเสียชีวิตแล้ว โดยคนที่ขอเปลี่ยนชื่อเป็นลูกของเจ้าของที่คนเก่าที่เสียชีวิต ซึ่งภายใน 15 วัน หากไม่มีใครคัดค้าน ที่ดินก็จะตกเป็นของเขา
จากนั้นตนและพี่สาว ก็ไปแจ้งเรื่องที่ สปก.สุรินทร์และยื่นคัดค้าน พร้อมนำเอกสารและใบนาจริงไปยื่นให้ดู เพื่อยืนยันว่าเอกสารอยู่กับเรา ไม่ได้หายตามที่ตามที่เขากล่าวอ้าง ขณะนี้เอกสารทุกอย่าง สปก.ก็เก็บไว้ทั้งหมด และบอกว่าจะติดต่อมาเพื่อให้ไกล่เกลี่ยกัน แต่ก็ไม่มีเลยและไม่มีการส่งเอกสารใดๆมาแจ้งให้รับทราบด้วย
และต่อมาก็มีคนมาขุดสระ ในที่ดินดังกล่าว มีชาวบ้านมาบอกว่าจ้างรถมาขุดสระหรือป่าว ตนบอกว่าไม่เคยจ้าง ชาวบ้านเลยให้รีบออกไปดู พอไปถึงเขาขุดสระเสร็จแล้ว แต่ยังไม่เกลี่ยดิน ตนจึงไปแจ้งยัง สปก.ว่าที่ดินดังกล่าวที่ตนทำกินมา 30 กว่าปีแล้ว มีคนเข้าไปขุดดินที่นาเรา ทาง สปก.ก็แนะนำให้ไปหาคนขุดและรถที่ขุดมา ซึ่งตนก็ให้ทางผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ส่งภาพดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่ และตอนที่ สปก.เรียกสอบก็มีทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และชาวบ้านที่ทำกินข้างเคียง ก็ไปเป็นพยานและให้ปากคำ ว่าพวกตนทำกินมาตลอดนานแล้ว จู่ๆก็มีหนังสือสลักหลัง ซึ่งเป็นใบเอกสารถือครองเป็น ชื่อของลูกเจ้าของเดิม เป็นงงมาก ทั้งๆที่เอกสารนั้นตนเพิ่งให้เจ้าหน้าที่ไป มารู้ก็ตอนที่เขานำรถมาไถที่นา เราเลยถามว่ามาทำได้อย่างไรเรื่องยังไม่จบเลย เขาก็บอกว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของเขาแล้ว พร้อมให้ดูเอกสารที่สลักไว้ด้านหลัง เมื่อขอดูเอกสารข้างหน้าก็ไม่ให้ดู ตอนนี้ที่ดินมีปัญหาอยู่ 2 แปลง ของตนและพี่สาว รวมประมาณ 18 ไร่ ก็อยากจะร้องขอความเป็นธรรม ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาด้วย เพราะเดือดร้อน ทำกินมา 30 กว่าปี จู่ๆก็มีปัญหามีคนมาเอาที่ไป ตนเป็นเพียงชาวบ้านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่อยากที่จะเสียที่นาไป อยากมาเจรจาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อหาทางออกที่เป็นธรรม
ขณะที่นายพี่นิด (ชื่อนายอ่อนศรี ในสมัยนั้น)สุขจิต อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 100 ม. 19 ต.ชุมพลบุรี อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ ซึ่งก็ได้ซื้อที่นาของญาติผู้ที่มาทวงสิทธิ์ เมื่อ 38 ปีที่แล้วเหมือนกัน จำนวน 8 ไร่เศษ โดยที่นาอยู่ติดกับที่นาของนางจำปี ที่ถูกขุดสระนำมาถมที่ ก็ได้นำหลักฐานเอกสารการซื้อ-ขายมาให้ดูด้วย โดยบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เคยมีคนมาติดต่อขอที่ดินคืน และว่าจะเอาเงินมาให้ ตนก็รอดูแต่สุดท้ายก็หายไปเลยไม่เห็นติดต่อมา ตอนนี้ได้ข่าวว่าเขาจะเข้ามาเอาแบบฟรีๆแปลงนี้ เพราะว่าเขาจะให้เงินแล้วไม่เอาเอง แต่ที่ว่าจะให้เงินนั้นก็พูดแค่ปากเปล่า ไม่เห็นมีเงินมาให้ เขาบอกว่าที่ดิน ส.ป.ก.เขาเคยทำมาหลายแปลงแล้ว ชนะมาหลายแปลงแล้ว และเขาก็พูดอีกว่าเขามีทนาย เขาพูดแบบนั้น เขาไปกลัวหรอก ตอนนี้ตนไม่อยากคุยแล้ว ถ้ามีปัญหามากก็ให้ยึดเขาหลวงไป เพราะว่ามันเสียเปรียบ เสียดายที่ที่ตนครอบครองทำกินมานาน ตั้ง 36-37 ปีแล้ว เขาก็ไม่ได้เราก็ไม่ได้ก็ชั่งมันเถอะ ที่ซื้อตอนนั้นก็มีทั้งหมด 3 เจ้านี้แหละ รวมๆก็ 25 ไร่ พวกตนทำกินมาโดยตลอดและเสียภาษีบำรุงท้องที่ทุกปีด้วย
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวจะได้ติดตามสอบถาม เรื่องดังกล่าวกับทางสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดสุรินทร์ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาให้กับผู้เดือดร้อนต่อไป.
Discussion about this post