นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด มอบงบประมาณจำนวน 500,000 บาท แก่ ศ.พญ. กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการนำร่องการศึกษาความปลอดภัยและการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนโควิด-19 ด้วยการฉีดเข้าในผิวหนัง
ทางทีมวิจัยยังมีแนวคิดในการย่นระยะเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 1 และ 2 ด้วยสูตรเร่งด่วน ซึ่ง ผศ.ดร.พญ.สุวิมล ให้เหตุผลว่า “จากการศึกษาที่ผ่านมา แนวทางหนึ่งในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อไวรัสให้เกิดขึ้นได้เร็วคือการทำให้ร่างกายคุ้นเคยกับไวรัสด้วยการฉีดวัคซีนพร้อมกันหลายจุด และฉีดเข็มกระตุ้นโดยเว้นระยะเวลาไม่นาน ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับวัคซีนครบ และกระตุ้นภูมิโดยเร็ว จะทำให้การป้องกันโรคเต็มที่เกิดขึ้นได้เร็วกว่า โดยการศึกษาในครั้งนี้จะแบ่งอาสาสมัครเป็น 2 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะได้รับวัคซีนโควิด-19 คนละชนิด โดยฉีดเข้าในผิวหนังของอาสาสมัครครั้งละ 2 จุด โดยมีระยะเวลาของการฉีดวัคซีนครั้งที่ 1 และ 2 ห่างกัน 7 วัน โดยจะเทียบกับการฉีด 1 จุด ห่างกัน 28 วัน ในปริมาณราว 15-20% ของขนาดปกติที่ให้โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ พบว่ากลุ่มอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทางผิวหนังสูตรเร่งด่วน แบบการย่นระยะเวลาให้เหลือเพียง 7 วันนั้น มีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกับการฉีดเข้าในผิวหนัง 1 จุด ห่างกัน 21-28 วัน พบว่า มีระดับภูมิคุ้มกันขึ้นด้อยกว่า ซึ่งการฉีดวัคซีนเข้าในผิวหนัง ทั้ง 2 รูปแบบ พบว่าเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีด เช่น ปวดหัว ไข้ขึ้น หรืออาการข้างเคียงอื่น ๆ ลดลง และช่วยประหยัดวัคซีนได้ถึง 5 เท่า จึงสรุปได้ว่า การฉีดวัคซีนเข้าในผิวหนัง เป็นการจัดสรรวัคซีนให้เกิดประโยชน์สูงสุด กระจายสู่ประชากรได้จำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเว้นระยะห่างเพียง 21-28 วัน จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับที่ดี และลดอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดได้อีกด้วย
โดยนายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้ร่วมสนับสนุนโครงการศึกษาในครั้งนี้ ซึ่งจะมีส่วนในการสร้างองค์ความรู้ในการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษานี้ไม่เพียงสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังสามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศรายได้น้อยซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนผู้ได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 1 เข็ม เพียง 6 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น อันจะมีส่วนช่วยเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสังคมจากวิกฤตในครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน”
เชฟรอนเป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มุ่งมั่นจัดหาพลังงานที่สะอาดขึ้น สามารถเข้าถึงและเชื่อถือได้ให้กับประชากรหลายล้านคน ธุรกิจของเชฟรอนช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ รวมถึงมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ โดยบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจในหลายประเทศ ทั้งออสเตรเลีย, บังคลาเทศ, จีน, อินโดนีเซีย, เมียนมาร์ และไทย แหล่งปิโตรเลียมหลายแห่งที่เชฟรอนเป็นผู้ดำเนินงาน มีความสำคัญและดำเนินการผลิตอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน บริษัทฯ จึงมุ่งพัฒนาพลังคนและนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ เพื่อพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจากแหล่งปิโตรเลียมที่มีอายุ และแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
Discussion about this post