วันที่ 20 ธ.ค.64 นางสาวกัญณฐา อภินนท์ธนา เกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จังหวัดนครพนม ในขณะนี้อากาศเริ่มเย็นๆ มีความชื้นสูงในตอนเช้า สำหรับช่วงนี้พร้อมทั้งมีอากาศร้อนในเวลากลางวันช่วงนี้ สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม จึงแนะเกษตรกรผู้ปลูกพืชผักตระกูลกะหล่ำและผักกาด อาทิ กวางตุ้ง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก คะน้า ผักกาดขาว ผักกาดหอม และบรอกโคลี ให้เตรียมรับมือการระบาดของโรคราน้ำค้าง ที่สามารถพบได้ในทุกระยะการเจริญเติบโตของพืช จะพบอาการของโรคบนใบที่อยู่บริเวณด้านล่างของต้นก่อน จากนั้นแผลจะขยายลุกลามไปยังใบที่อยู่ด้านบนของต้นพืช โดยมีอาการเริ่มแรกบริเวณด้านบนใบเป็นจุดแผลสีเหลือง หรืออาจเป็นปื้นสีเหลือง ซึ่งเมื่อเข้าทำลายแล้วจะทำให้ผลผลิตกะหล่ำลดลง และเมื่อสภาพอากาศมีความชื้นสูงในตอนเช้า มักพบเส้นใยเชื้อราเป็นขุยสีขาวถึงเทาตรงแผลด้านใต้ใบ หากพบโรคระบาดรุนแรง แผลจะลามขยายใหญ่ทำให้เนื้อใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ต่อมาใบจะเหลืองและแห้งตาย กรณีพบโรคในระยะต้นกล้า ใบเลี้ยงจะเกิดจุดแผลสีน้ำตาล ทำให้ต้นแคระแกร็นและตายในที่สุด ส่วนในกะหล่ำดอกและบรอกโคลี ถ้าพบเชื้อราเข้าทำลายรุนแรง ก้านดอกจะยืดและดอกอาจจะบิดเบี้ยวเสียรูปทรงได้
สาเหตุของโรคนี้เกิดจากเชื้อรา Peronospora parasitica ชนิดพืชที่เกิดโรคได้แก่ กวางตุ้ง กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี คะน้า บร๊อคโคลี่ ผักกาดขาวปลี ผักกาดเขียว และผักกาดหัว เป็นต้น ซึ่งจะพบกลุ่มของเชื้อราเป็นผงสีขาวหรือสีเทาบนใบ ด้านหลังใบจะเกิดแผลสีเหลืองต่อมาเป็นสีน้ำตาล แผลค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขอบไม่แน่นอน ถ้าเป็นรุนแรง แผลจะมีจำนวนมาก ใบจะเหลืองและแห้งตาย ใบที่อยู่ตอนล่างๆ จะมีแผลเกิดก่อน แล้วลามระบาดไปยังใบที่สูงกว่า ในต้นอ่อนจะเริ่มมีแผลสีเหลืองที่ใบเลี้ยงและจะหลุดร่วงไป อาจจะทำให้ ต้นเติบโตช้า โทรมอ่อนแอและตายได้ ในผักที่ใบห่อเป็นหัว ใบที่ห่อจะเกิดเป็นแผลจุดสีดำเป็นแอ่งลงไป อาจมีขนาดเล็กถึงใหญ่ ในกะหล่ำดอกและบร๊อคโคลี่ เชื้ออาจเข้าทำลายที่ช่อดอก ทำให้เกิดแผลสี น้ำตาลดำที่ผิวนอกสุด เป็นหย่อมๆ หรือทั่วทั้งดอก ถ้าเป็นโรครุนแรง ถ้าโรคระบาดในระยะติดฝักอ่อน ก็มีแผลเช่นเดียวกับแผลที่เกิดบนใบ ฝักไม่สมบูรณ์
สำหรับการแพร่ระบาดสปอร์ของเชื้อราจะปลิวไปตามลมหรือติดไปกับสิ่งเคลื่อนไหวต่างๆ แล้วตกลงบนใบพืชเข้าทำลายพืชทาง ปากใบ อยู่ข้ามฤดูปลูกโดยสร้างสปอร์ (ส่วนขยายพันธุ์)ผนังหนา (oospora) ซึ่งติดอยู่ตามเศษซากพืชหรืออาศัยกับ ต้นที่งอกเองนอกฤดู และติดไปกับเมล็ดที่ใช้ทำพันธุ์สภาพที่เหมาะต่อการเกิดโรค ความชื้นสูง อุณหภูมิระหว่าง 20 – 24 องศาเซลเซียส มีหมอกหรือน้ำค้างลงจัด
แนวทางในการการป้องกันและกำจัด ใช้เมล็ดพันธุ์ปราศจากเชื้อ หรือแช่เมล็ดในน้ำร้อน 50 องศาเซลเซียส 20 – 30 นาที ก่อนปลูก หรือคลุกเมล็ดด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เมตาแลกซิล หรือ เมตาแลกซิล+แมนโคเซบ ก่อนปลูก ไม่ปลูกผักซ้ำที่เดิมเคยมีการระบาดของโรค โดยปลูกพืชหมุน เวียนอย่างต่ำ 3 – 4 ปี ควรปลูกพืชให้มีระยะห่างพอสมควรอย่าให้แน่นเกินไป หลังจากเก็บเกี่ยวควรทำลายเศษซากพืชหรือพืชที่งอกเองให้หมด เมื่อพบอาการบนใบควรพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น บาซิลัส ซับทิลิส, เมตาแลกซิล+แมนโคเซบ, ไซบ็อกซามิล+แมนโคเซบ, ออกซาไดซิล+แมนโคเซบ, โพรพิเนบ+ไซม็อกซามิล เป็นต้น โรคนี้ไม่ทำให้ต้นตาย ผักรับประทานใบ เช่น คะน้า ผักกาด ฯลฯ น้ำหนักลด เพราะต้องตัดใบเป็นโรคออกเสีย ทำให้ผลผลิตตกต่ำ กะหล่ำปลีมักเสียหายในระยะก่อนห่อเป็นหัว เมล็ดจากผักที่เป็นโรคไม่ควรเก็บไว้ทำพันธุ์ ผักหลายชนิดในตระกูลนี้พบเป็นโรคเดียวกัน และเพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันการเข้าทำลายของโรคราน้ำค้างในพืชตระกูลกะหล่ำเข้าทำลายในจังหวัดนครพนม เกษตรกรควรรีบแจ้งข้อมูลการระบาดหรือหากมีข้อสงสัย สามารถเข้าไปติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน
และนางสาวกัญณฐา อภินนท์ธนา เกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในช่วงนี้เกษตรกรที่ปลูกมะเขือเทศ อาจะต้องเฝ้าระวังหนอนผีเสื้อชอนใบมะเขือเทศซึ่งเป็นศัตรูพืชที่มีความร้ายแรงระดับโลก เนื่องจากสามารถทำลายและสร้างความเสียหายต่อพืชเศรษฐกิจหลายชนิด หนอนผีเสื้อชอนใบมะเขือเทศ เป็นแมลงศัตรูพืชสำคัญที่สร้างความเสียหายต่อพืชเศรษฐกิจในหลายประเทศ โดยเฉพาะพืชวงศ์มะเขือ เช่น มะเขือเทศ มะเขือ มันฝรั่ง พริก ยาสูบ รวมทั้งวงศ์ถั่ว และกะหล่ำ โดยการกัดกินชอนไชใบ ลำต้น และผล ทำให้ผลผลิตลดลงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ จากสถานการณ์ระบาดอย่างรวดเร็ว และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงในแหล่งปลูกมะเขือเทศหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้และทวีปยุโรป รวมทั้งเริ่มพบการระบาดของหนอนผีเสื้อชอนใบมะเขือเทศในทวีปเอเชียแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นแมลงที่ต้านทานต่อสารกำจัดศัตรูพืชทำให้การป้องกันกำจัดยาก และเสียค่าใช้จ่ายในการป้องกันกำจัดสูงตามไปด้วย
หนอนผีเสื้อชอนใบมะเขือเทศ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเปรู ต่อมาพบการระบาดและสร้างความเสียหายอย่างมากในแหล่งปลูกมะเขือเทศหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ รวมทั้งหลายพื้นที่ของทวีปยุโรป สำหรับในทวีปเอเชียมีรายงานพบการระบาดของหนอนผีเสื้อชอนใบมะเขือเทศครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย และเนปาล ล่าสุดได้รับการยืนยันจากหน่วยงาน World Vegetable Center และ The Center for Agriculture and Bioscience International (CAB) พบการระบาดของหนอนผีเสื้อชอนใบมะเขือเทศในบริเวณภาคเหนือของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาแล้ว
การป้องกันกำจัดผีเสื้อหนอนชอนใบมะเขือเทศ แบบผสมผสาน ในขั้นตอนของการเตรียมดิน ให้ไถพรวนและตากดิน เพื่อกำจัดระยะดักแด้ที่อยู่ในดิน ทำความสะอาดโรงเรือนและวัสดุปลูก เพื่อกำจัดดักแด้ที่ติดอยู่ภายในวัสดุปลูก และเมื่อมีการเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วให้เผาทำลาย ฝังกลบต้นพืช เพื่อกำจัดแมลงมี่ยังตกค้างอยู่ในต้นพืช ในระยะก่อนปลูกให้ใช้ต้นกล้าและวัสดุปลูกที่ปราศจากหนอนชอนใบมะเขือเทศ และหลังปลูกลงในแปลงไปแล้วหมั่นสำรวจแปลงปลูกตั้งแต่เริ่มปลูกโดยสังเกตรอยทำลายบนต้นพืชหรือใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลืองหรือกับดักฟีโรโมน 3 – 4 กับดักต่อไร่ เมื่อพบตัวผีเสื้อบนกับดัก 3 – 4 ตัวต่อกับดักต่อสัปดาห์ให้ติดตั้งกับดักฟีโรโมน ดักจับตัวเต็มวัยเพศผู้ 6 – 8 กับดักต่อไร่ เพื่อลดประชากรผีเสื้อหนอนชอนใบมะเขือเทศ แนะนำให้เกษตรกรใช้สารชีวภัณฑ์ โดยการพ่นด้วยเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ทรูริงเยน และเมื่อพบการแพร่ระบาดในระยะเริ่มต้นควรพ่นสารชีว-ภัณฑ์ในช่วงเย็น เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และหากพบว่ามีการระบาดที่รุนแรงให้ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร และอีกวิธี คือ การปลูกพืชหมุนเวียนที่ไม่ใช่พืชอาศัยของหนอนชอนใบมะเขือเทศเพื่อตัดวงจรการระบาดเพิ่มขึ้น สำหรับในพื้นที่จังหวัดนครพนมมีหลายพื้นที่อำเภอที่มีการปลูกมะเขือเทศ เช่น อำเภอปลาปาก อำเภอธาตุพนม และอำเภอบ้านแพง เป็นต้น แม้จะยังไม่มีรายการพบการระบาดในพื้นที่ แต่ได้มีการเตรียมการในการสร้างการรับรู้กับเกษตรกรในพื้นที่และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเกษตรอำเภอทั้ง 12 อำเภอ เพื่อดำเนินการติดตามและลงพื้นที่ตรวจสอบพร้อมให้คำแนะนำกับเกษตรกรอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันการเข้าทำลายของผีเสื้อหนอนชอนใบมะเขือเทศในจังหวัดนครพนม และหากเกษตรกรมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผีเสื้อหนอนชอนใบมะเขือเทศ สามารถเข้าไปติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน.
Discussion about this post