ตามที่ “หมู่บ้านเหยื่อเหมือง” ต.ต้าผามอก อ. ลอง จ.แพร่ ที่ได้รับผลกระทบเหมืองแร่ เข้ายื่นหนังสือต่อพ่อเมืองแพร่ ทวงสิทธิ์ “ประชามติอัปยศ” และถูกทอดทิ้งอย่างคนไร้สิทธิ์ และเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ทางตัวแทนชาวบ้าน “เหยื่อเหมือง” หมู่ 5 บ้านอิม ต.ต้าผามอก อ. ลอง จ.แพร่ ที่ได้รับผลกระทบเหมืองแร่ นำโดย “โด่ง บ้านอิม” นายจิรวัฒน์ ดวงประทีป เข้ายื่นหนังสือต่อ นายสมหวัง พ่วงบางโพ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ที่ห้องทำงาน ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดแพร่ เพื่อเรียกร้องทวงสิทธิ์ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากมลภาวะจากการทำเหมือง ซึ่งมีการลงประชามติไปแล้ว โดยที่หมู่บ้านฯ ที่ได้รับผล กระทบกลับไม่มีสิทธิ์ในปกป้องสิทธิ์แต่อย่างใด
“โด่ง บ้านอิม” นายจิรวัฒน์ ดวงประทีปกล่าวว่า เมื่อปี 2562 คนในหมู่บ้านได้สิทธิ์ในฐานะ “ผู้ได้รับผลกระทบ” เข้าสู่เวทีรับฟังความคิดเห็น. แต่ในปี 2565 มีการทำประชามติเพื่อเปิดเหมือง แต่ทางราชการกลับตัดสิทธิ์ชาวบ้าน บ้านอิม หมู่ 5 ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงออก ซึ่งสร้างความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เพราะชาวบ้าน จะต้องรับกรรมไปจนกว่าจะหมดสัมปทานอย่างแน่นอน
“หลังเหมือง “ถูกสั่งปิด” เมื่อปี 2562 แต่ผลกระทบยังเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งได้ และกากแร่และตะกอนดินจากเหมืองถล่มปิดกั้นลำห้วยแม่สวกจนน้ำไหล่บ่าเข้าท่วมพื้นที่เกษตรกรรมเสียหายเป็นจำนวนมาก ก่อนหน้านี้ มีหน่วยงานภาครัฐ เข้ามาดูความเดือดร้อนของชาวบ้าน และบอกว่า ทาง อบจ.แพร่ จะเข้ามาให้การช่วยเหลือ ด้วยการนำเครื่องจักรเข้ามาขุดลอกลำห้วยแม่สวก เพื่อให้น้ำไหลสะดวกเพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่เห็นวีแวว อาจจะเป็นเพียงคำพูดเท่านั้น
ความเดือดร้อนของชาวบ้านหมู่ 5 และหมู่ 8 บ้านอิมและบ้านศรีใจ ฯดังกล่าวเกิดขึ้นจากการสัมปทานพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อทำเหมืองแร่แบไรท์ ของบริษัทเหมืองที่เช่าช่วงประทานบัตรต่อจากบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นการกระทำผิด พ.ร.บ.เหมืองแร่ พ.ศ.2560 มาตรา 52 โดยระบุชัดห้ามไม่ให้มีการเช่าช่วงสัมปทาน และต่อมาในปี 2562 เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานฯเข้าตรวจสอบพบว่า บริษัททำเหมืองฯ มีการบุกรุกที่ดินป่าสงวนฯ คือ การใช้พื้นที่เพิ่มโดยไม่ได้ขออนุญาต ส่งผลให้พื้นที่ป่าต้นน้ำแม่สวก และป่าต้นน้ำแม่ต้าได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้น จนกรมป่าไม้ พร้อมเจ้าหน้าที่ทหาร ฝ่ายปกครอง และ ดีเอสไอ (DSI) บุกเข้ายึดพื้นที่และจับกุมในข้อหา กระทำผิดต่อ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ,พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามสำนวนคดีพิเศษที่ 75/2562
ล่าสุดบริษัทเหมืองฯ ยังอยู่ระหว่างการถูกดำเนินคดี แต่กลับมาขอประทานบัตรใหม่ในพื้นที่ทำเหมืองเดิม ซึ่งผลจากทางราชการตัดสิทธิ์ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบออกจากเวทีประชามติ ทำให้บริษัทแห่งนี้ได้รับสัมปทานใหม่อีก
ทางศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้าจังหวัดแพร่ ซึ่งมี นายอำนวย พลหล้า ประธานศูนย์ฯ ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน และได้ลงพื้นที่ติดตามปัญหาดังกล่าว และพบว่ากระบวนการทำงานของภาครัฐในจังหวัดแพร่ไม่ให้ความสำคัญต่อสิทธิประชาชนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำรุนแรงมากขึ้น
นายอำนวย พลหล้า กล่าวว่า ทางชาวบ้านที่ถูกตัดสิทธิ มีข้อกังวล เรื่องตะกอนแร่ทับถมในลำห้วย รถบรรทุกที่วิ่งผ่านหมู่บ้านตลอด 24 ชั่วโมง เกิดเสียงดังจากการทำเหมือง ฝุ่นควันที่มีความหนาแน่นเกินมาตรฐาน รวมทั้งสภาวะดินถล่ม ในพื้นที่ดังกล่าว ทางราชการไม่รับรองการประกาศเขตป่าชุมชน ตาม พ.ร.บ.ป่าชุมชน ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของทุกคนในชุมชน
จากกรณีดังกล่าว ทาง “ทนายเคน” นายติรานนท์ เวียงธรรม กรรมาธิการการพัฒนาการเมืองการสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้รับเรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้าน ” เหยื่อเหมือง” ไปแล้ว เตรียมดำเนินการต่อไป
ธีรพงษ์ ธงออน/แพร่
Discussion about this post