วันที่ 29 สิงหาคม 2565 ที่บ้านหนองหอยเก่า หมู่ 7 ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรม่อนแจ่ม และเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ กว่า 2,000 คน นำโดยนายเอกรินทร์ นทีไพรวัลย์ แกนนำชุมชนม่อนแจ่ม ได้ชุมนุมคัดค้านการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งอื่นใดที่เป็นอันตรายหรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมสภาพในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ริม มีสถานประกอบการที่ถูกรื้อถอน 5 รายจาก 36 ราย ประกอบด้วย หลังสวนโฮมสเตย์ ม่อนดูดาว ม่อนดาวเรือง ม่อนแสงระวี และแสงเหนือแคมปิ้ง ซึ่งสำนักงานทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 เชียงใหม่ ได้กำหนดรื้อถอน วันที่ 29-30 สิงหาคม รวม 2 วัน
โดยผู้ชุมนุมได้เขียนป้ายข้อความว่า “อยู่ก่อน พรบ.ป่าไม้ 2487” พร้อมทำรั้วกั้นและติดป้ายข้อความว่าพื้นที่ส่วนบุคคล ห้ามเข้า สถานประกอบการดังกล่าว 5 แห่ง ก่อนชาวบ้านรวมตัว บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน ไม่ให้เจ้าหน้าที่รื้อถอนที่พักและโฮมสเตย์ดังกล่าว เนื่องจากได้ร้องศาลปกครองขอความคุ้มครองการรื้อถอนดังกล่าวชั่วคราว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาศาลปกครองสูงสุด เพื่อรักษาสิทธิชุมชน และทรัพย์สินของผู้ประกอบการ ไม่ให้ได้รับความเสียหาย
ต่อมานายมนตรี ปลูกปัญญา ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า พร้อม พ.ต.อ.สิทธา คำเลิศ ผกก.สภ.แม่ริม ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้เข้าเจรจากับนายเอกรินทร์และผู้นำชุมชน แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ทำให้นายมนตรี และเจ้าหน้าที่ต้องถอนกำลัง ไปตั้งหลักที่โครงการหลวงหนองหอย ซึ่งอยู่ห่างม่อนแจ่มกว่า 2 กิโลเมตร ก่อนนำเอกสารหลักฐานมาชี้แจงกับชาวบ้านอีกครั้ง ซึ่งนายเอกรินทร์และผู้นำชุมชน ได้อนุญาตให้นายมนตรี พ.ต.อ.สิทธา พร้อมเจ้าหน้าที่ 3-4 นาย และสื่อมวลชนบางส่วนได้เข้าไปตรวจสอบสถานประกอบการ 2แห่ง คือ ม่อนแสงระวี และม่อนดูดาว โดยมีนายชูชาติ พนมไพร ผู้ใหญ่บ้านหนองหอยใหม่ หมู่11 นำตรวจสอบดังกล่าว โดยมีนายภควัติ ขันธหิรัญ นายอำเภอแม่ริม ร่วมสังเกตการณ์ด้วย
นายเอกรินทร์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้ใช้พระราชบัญญัติ (พรบ.) ป่าสงวนแห่งชาติ ม. 25 (23)เข้าดำเนินการรื้อถอนดังกล่าว โดยอาศัยแผนที่โครงการหลวงหนองหอย ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดำเนินคดีกับชาวบ้าน โดยไม่ได้สำรวจหรือรังวัดที่ดินอย่างใด ทำให้ผู้ที่ถูกดำเนินคดี 36 ราย จากผู้ประกอบการ 122 ราย ไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงร้องศาลขอความคุ้มครองชั่วคราว ดังนั้นอยากให้เจ้าหน้าที่รอการตัดสินหรือวินิจฉัยศาลก่อน ถ้าศาลตัดสินว่าผิด สั่งให้รื้อถอน ทางกลุ่มและชาวบ้านพร้อมปฎิบัติตามคำสั่งศาล โดยไม่มีเงื่อนไขฃใดๆ ซึ่งการชุมนุมเป็นไปอย่างสันติ ด้วยความสงบเรียบร้อย ปราศจากอาวุธ ไม่ได้ใช้ความรุนแรงใดๆ
“เบื้องต้นได้เจรจา ขอให้เจ้าหน้าที่ชะลอการรื้อถอนออกไปก่อน จนกว่าศาลตัดสินเป็นที่สุดแล้ว เนื่องจากม่อนแจ่ม มีประชากรกว่า 3,800 คน พื้นที่ทำกิน2,800 ไร่ เฉลี่ยพื้นที่ครอบครองไม่ถึง 1 ไร่/ราย บางส่วนทำเกษตร แต่รายได้ไม่เพียงพอ จึงหันมาทำอาชีพท่องเที่ยวมากขึ้น เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีกว่าเดิม ดังนั้นทางกลุ่ม ผู้นำชุมชนและเครือข่าย พร้อมเจรจาบนโต๊ะทุกเวที เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ แต่ทุกครั้งที่มีการเจรจา ไม่เคยได้รับการตอบสนองเลย ชาวบ้านยื่นมือไป เจ้าหน้าที่กลับยื่นปืนมา ใช้กฎหมายดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมมาโดยตลอด หากเจ้าหน้าที่เข้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง 5 แห่ง จะเข้าแจ้งความดำเนินคดีข้อหาบุกรุกต่อไป เพื่อรักษาสิทธิชุมชน และป้องกันทรัพย์สินไม่ให้เสียหายดามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญด้วย” นายเอกรินทร์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการตรวจสอบสถานประกอบการดังกล่าว นายมนตรี ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ชะลอการรื้อถอนดังกล่าว เนื่องจากเกรงว่าอาจเกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับชาวบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้แต่ได้ประสานนายเอกรินทร์ และผู้นำชุมชน ตั้งโต๊ะเจรจากันอีกครั้ง เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติซึ่งนายมนตรี ได้รายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ทำให้ชาวบ้านพอใจ ก่อนสลายการชุมนุม โดยใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมง
Discussion about this post