
เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 65 นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการ จ.ประ จวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า จากที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เผยถึงมติ ศปถ.ได้เห็นชอบเรื่องการรณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100 % ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันลดการบาดเจ็บและความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน จ.ประจวบฯ เล็งเห็นว่าเพื่อป้องกันการบาดเจ็บและสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมติคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนนั้น จ.ประจวบฯจึงได้กำหนดแนวทางและมาตรการ โดยให้ทุกส่วนราชการ สถานศึกษา สถานพยาบาล หน่วยงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สถานประ กอบการ และนิคมอุตสาหกรรม เป็นพื้นที่สวมหมวกนิรภัย 100 % รวมถึงนำระบบเทคโนโลยีมาสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจริงจังกับผู้ที่ไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่ และย้ำเตือนข้า ราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงาน ผู้นำต่างๆ ให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตามกฎจราจร โดยเฉพาะการสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งที่มีการขับขี่รถจักรยานยนต์
“อุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต การบาดเจ็บ และพิการของประชาชน ซึ่ง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ให้ความสำคัญต่อการรณรงค์สร้างความปลอด ภัยในการใช้รถใช้ถนนอย่างต่อเนื่อง โดยขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันรณรงค์สร้างจิตสำนึกปฏิ บัติตามกฎหมายจราจร โดยเฉพาะการไม่ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ดื่มไม่ขับ สวมหมวกนิรภัยขณะขี่รถจักรยาน ยนต์ คาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับรถยนต์ รวมทั้งการสร้างความปลอดภัยบริเวณทางข้ามหรือทางม้าลาย ซึ่งที่ผ่านมาจังหวัดฯได้มีการรณรงค์เพื่อลดอุบัติเหตุบริเวณทางข้ามในพื้นที่ทุกอำเภออย่างต่อเนื่องในวันที่ 21 ของทุกเดือน โดยเน้นย้ำในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด การสวมหมวกนิรภัย การปรับปรุงทางข้าม ทางม้าลาย ป้ายเตือนสัญญาณจราจร ทางแยกทางข้าม และรณรงค์สร้างจิตสำนึกขับขี่และรักษาวินัยจราจรอย่างเคร่ง ครัดเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน” นายเสถียร กล่าว
ทั้งนี้ในปี 2564 จ.ประจวบฯ มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 205 ราย หรือคิดเป็น 37.41 รายต่อแสนประชากร และในปี 2565 มีเป้าหมายลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไม่เกิน 176 ราย หรือประมาณ 33.05 รายแสนประ ชากร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในภาพรวมระดับประเทศคือลดอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้ไม่เกิน 12 รายต่อแสนประชากรภายในปี 2570 ภายใต้กรอบปฏิญญาสต็อกโฮล์ม.
Discussion about this post