วันที่ 22 กันยายน 2565 จังหวัดสุรินทร์ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ สำนักงานวัฒน ธรรมจังหวัดสุรินทร์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุรินทร์ ได้ร่วมกับประชาชน นักเรียน นักศึกษาและส่วนราชการต่างๆ ร่วมกันจัดขบวนแห่เครื่องเซ่นไหว้บูชา หรือเครื่องแซนโฎนตา (โดน-ตา) ก่อนจะเคลื่อนขบวนจากศาลากลาง จ.สุรินทร์ หลังเก่า เดินทางไปยังอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง อ.เมือง จ.สุรินทร์ เพื่อประกอบพิธีในงานประเพณี “แซนโฎนตา บูชาบรรพบุรุษ(อ่านว่า-แซน-โดน-ตา) ประจำปี 2565 โดยจังหวัดสุรินทร์ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ สำนัก งานวัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุรินทร์ จัดขึ้น เพื่ออนุรักษ์ประเพณีดั้งเดิมของชาวสุรินทร์และแสดงความกตัญ ญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสุรินทร์โดยภายในขบวนแห่ มีการจัดสำรับเครื่องเซ่นไหว้บูชา หรือเครื่องแซนโฎนตา ต่างๆอย่างสวย งาม พร้อมขบวนศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านต่างๆ ทั้งการร่ายรำ เต้นรำประกอบเพลงกันตรึมพื้น รวมไปถึงขบวนจักรยานสามล้อปั่น โดยมีช้างจำนวน 5 เชือก เข้าร่วมนำขบวนแห่เครื่องเซ่นไหว้ หรือ เครื่องจูนโฎนตา นำโดยพลายทองคำและพลายทองแท่ง ช้างแฝดเพศผู้คู่แรกของโลก นำขบวนเข้าไปยังบริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ทรภักดี เจ้าเมืองคนแรกของจังหวัดสุรินทร์ ก่อนนำเครื่องเซ่นไหว้ไปส่งมอบให้กับนายวิชัย ทัศนเศรษฐ์ ผู้อาวุโสของจังหวัด อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมนายสุวพงษ์ กิติภัทรพิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ นายพรชัย มุ่งเจริญพร นายกองค?การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ พร้อมนำประกอบพิธีแซนโฎนตา บูชาบรรพบุรุษ หรือ เซ่นไหว้ ต่อหน้าอนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดี ศรีนรงค์จางวาง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปประเกอบพิธีในแต่ละครอบ ครัวต่อไป ในวันที่ 24 กันยายน 2565 นี้ ซึ่งเป็นวันแซนโฎนตา ของชาวสุรินทร์
สำหรับประเพณีแซนโฎนตา นับเป็นประเพณีที่สำคัญของชาวสุรินทร์ ซึ่งต้องยึดถือปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องทุกปี ประเพณีวันสารทของคนวัฒนธรรมเขมรพื้นบ้านชาวสุรินทร์ ครอบครัวและเครือญาติได้กลับมาพบหน้ากัน เพื่อทำบุญให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ เฉกเช่นเดียวกับ “วันสารทไทย”, “วันสารทจีน” และในวัฒนธรรมของชาวเขมรก็มีประเพณี “วันสารทเขมร” หรือที่เรียกกันว่า “ประเพณีแซนโฎนตา” ซึ่งชาวเขมรพื้นบ้านสุรินทร์ ชาวไทยเชื้อสายเขมร ชาวกูย และชาวลาว ที่อาศัยอยู่ภายในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญกับประเพณีนี้เป็นอย่างยิ่ง
วันแซนโฎนตา หรือ ไงแซนโฎนตา ตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี ซึ่งในปี 2565 วันแซนโฎนตา ตรงกับวันที่ 24 กันยายน 2565 คำว่า “ไง” หมายถึง วัน คำว่า “แซน” หมายถึง การเซ่นไหว้ การบวงสรวง คำว่า “โฎน” หมายถึง ย่าหรือยาย คำว่า “ตา” หมายถึง ปู่หรือตา ดังนั้นประเพณีนี้จึงหมายถึง การเซ่นไหว้ปู่ ย่า ตา ยาย หรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ถือเป็นวันสารทเดือนสิบของชาวเขมร ในช่วงเวลานี้ ลูกหลานชาวเขมรที่ไปทำงานในพื้นที่ต่าง ๆ จะเดินทางกลับมาหาครอบครัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษ เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
ทั้งนี้ ชาวเขมรพื้นบ้านสุรินทร์ มีความเชื่อว่า เมื่อถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ประตูยมโลกจะเปิด เพื่อให้ผู้รับกรรมที่อยู่ในนรกได้เดินทางมาเยี่ยมญาติได้ ชาวเขมรจึงจัดทำอาหาร ขนม ข้าวต้ม ในตอนเย็นของวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 10 และพอรุ่งเช้าวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ก็จะนำอาหาร ขนม ข้าวต้ม ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลที่วัด เรียกว่า “วันเบ็นตูจ” โดยเชื่อว่าผีจะออกมาจากยมโลกได้ 15 วัน หลังจากนั้นต้องกลับไปรับกรรมในยมโลกตามเดิม จากวันเบ็นตูจนับไปอีก 15 วัน (นับจากวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 10) จะตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี คือ “วันเบ็นทม” ซึ่งเป็นวันที่ประกอบพิธีแซนโฎนตา อีกส่วนสำคัญ ซึ่งชาวเขมรพื้นบ้านสุรินทร์ ยึดถือประเพณีนี้สืบทอดกันมาอย่างยาวนานด้วยความเชื่อที่ว่าถ้าในยุคของตนได้แซนโฎนตาให้แก่ผีบรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ไปแล้ว รุ่นลูกจะต้องแซนโฎนตาให้ตนเหมือนกัน เพื่อให้ลูกหลานต้องปฏิบัติสืบทอดต่อ ๆ กันไป เช้าวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ญาติหรือลูกหลานนำอาหารจำนวนมากมาทำบุญที่วัด บรรพบุรุษก็จะเกิดความปลื้มอกปลื้มใจ เมื่อถึงกำหนดวันที่ต้องกลับไปนรก ก็จะอวยพรให้ญาติหรือลูกหลานมีความสุขความเจริญ ประกอบอาชีพประสบผลสำเร็จ มีเงินมีทองใช้ แต่ถ้าไม่เห็นลูกหลานเตรียมสำรับไว้ให้ ก็จะรู้สึกโศกเศร้า ผิดหวัง จนโกรธและสาปแช่งญาติหรือลูกหลานไม่ให้มีความสุขความเจริญ ดังนั้นชาวเขมรพื้นบ้านสุรินทร์ จึงประ กอบพิธีนี้สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน อย่างเคร่งครัด.
Discussion about this post