วันที่ 12 กรกฎาคม 2566 ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดโครงการเสวนา “ภาคีเครือข่ายเชียงใหม่ ร่วมใจขจัด PM 2.5 และลดโลกร้อน” ภายใต้ยุทธศาสตร์ “หยุดเผาเรารับซื้อ” ของโครงการคาร์บอนเครดิตเชียงใหม่- NEXT มีนายพิชัย เลิศพงษ์อดิศร หรือ ส.ว.ก๊อง นายก อบจ.เชียงใหม่ นายวิชัย ทองแตง แกนนำภาคีแสดงวิสัยทัศน์ กำหนดมาตรการที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วเพื่อใช้ในการระวังป้องกันบรรเทา และแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ในเขต จ.เชียงใหม่ นายก้องเกียรติ สุธิเย ซีอีโอ กลุ่มธุรกิจตลาดคาร์บอนเครดิต และเครือข่าย เข้าร่วมกว่า 100 คน โดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง

นายชัชวาลย์ กล่าวว่า นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ มีความห่วงใยและติดตามแก้ปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด ซึ่งเชียงใหม่มีพื้นที่ 13 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ป่า 9 ล้านไร่ หรือ 70 % พื้นที่ทั้งหมดปี 65 เกิดไฟป่ากว่า 13,000 จุด ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานกว่า 70 วันบางวันสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งทุกภาคส่วนพยายามทุกวิถีทางเพื่อดับไฟป่าไม่ให้ขยายบุกลามในวงกว้าง ทั้งจัดชุดดับไฟลาดตระเวน ใช้เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์โปรยน้ำ ระดมเจ้าหน้าที่ เครื่องมืออุปกรณ์องค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) สนับสนุนดับไฟป่าและภาคเอกชน สนับสนุนอาหารและน้ำดื่มสามารถแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
จากปัญหาดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยประชาชน เศรษฐกิจ สังคม ท่องเที่ยว เพราะเชียงใหม่มีรายได้จากท่องเที่ยวและบริการ กว่า 80 % ดังนั้นปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 เป็นเรื้องของทุกคน เพราะได้รับผลกระทบดังกล่าวอย่างถ้วนหน้า ทางจังหวัดมีนโยบายไม่เผาตอซังข้าวโพด ที่ก่อมลพิษดังกล่าว โดยสนับสนุนให้ภาคเอกชนรับซื้อวัชพืช วัสดุทางการเกษตรเพื่อทำถ่านอัดแท่ง ปุ๋ยหมัก และลดใช้สารเคมี เพื่อเปลี่ยนเป็นเกษตรอินทรีย์ และเพิ่มมูลค่าผลผลิตแทน
นายพิชัย กล่าวว่า ช่วงฤดูไฟป่าหมอกควัน 2-3 เดือน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจมาก ซึ่ง อบจ. ร่วมกับสภาลมหายใจเชียงใหม่ จัดงบอุดหนุนให้กับหมู่บ้าน หรือพื้นที่เสี่ยงเกิดไฟป่า ตั้งแต่ปี 65 วงเงิน 13 ล้านบาท ส่วนปีนี้จัดสรรให้ 770 หมู่บ้าน ๆ ละ 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 15.4 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนทำแนวกันไฟป่า ฝายชะลอน้ำ บวชป่า และจัดชุดอาสาดับไฟป่าในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่เสวนา นายวิชัย ได้แจ้งในที่ประชุมว่า ได้เชิญนายวสุชาติ พิชัย ปลัดเทศบาลตำบล (ทต.) ตลาดใหญ่ อ.ดอยสะเก็ด ผู้ฟ้องคดีศาลปกครองเชียงใหม่ กรณีนายกรัฐมนตรีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ถูกศาลพิพากษา ว่า ละเลยหน้าที่ และแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ล่าช้า จนส่งผลกระทบประชาชน เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมหรือ 2 วัน ที่ผ่านมา มาร่วมเสวนาดังกล่าว โดยระบุว่า เป็นความกล้าหาญนายวสุชาติ ที่กล้าฟ้องศาลปกครองจนชนะคดีดังกล่าว ถือเป็นบุคคลต้นแบบ ที่ทำเพื่อสังคม ส่วนรวม และผู้ได้รับผลกระทบดังกล่าว เพราะคำพิพากษา ได้ระบุว่า ปัญหาดังกล่าวสามารถป้องกันระวัง และป้องกันล่วงหน้าได้ แต่ผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 ราย กลับเพิกเฉย หรือละเลยต่อหน้าที่ดังกล่าว
คำพิพากษาดังกล่าว ถือเป็นบรรทัดฐานให้กับทุกจังหวัด ที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือได้รับผลกระทบดังกล่าว ที่พูดเรื่องดังกล่าว ไม่ใช่การดูถุกหรือตบหน้ารัฐบาลอย่างใด แต่เป็นการสะท้อนปัญหาและข้อเท็จจริงเท่านั้น ส่วนตัวขอชื่นชม การกระทำของนายวสุชาติ มาก แต่เรื่องดังกล่าวยังไม่จบง่าย ๆ อาจมีการอุทธรณ์ในชั้นศาลปกครองสูงสุด ซึ่งผลของการบังคับคดีต่อคำพิพากษาดังกล่าว อาจมีผลบังคับใช้อีก 20 ปีข้างหน้า หรือช่วยกันขับเคลื่อนเริ่องดังกล่าว เพื่อแกปัญหาอย่างยั่งยินไปพร้อมกัน ก่อนขอในที่ประชุม ได้ปรบมือเพื่อให้กำลังใจนายวสุชาติ ด้วย
ทั้งนี้ นายวสุชาติ ได้กล่าวในที่ประชุมสั้น ๆ ว่า กรณีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลครอง ได้กระทำโดยผ่านสื่ออิเลคทรอนิคส์ หรือออนไลน์เท่านั้น โดยไม่ได้ยื่นเป็นเอกสารใด ๆ ซึ่งศาลประทับรับฟ้องเนื่องจากเป็นผู้เสียหาย และได้รับผลกระทบโดยตรง อีกทั้งไม่ได้ไปไต่สวน หรือฟังคำพิพากษาที่ศาลอย่างใด เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกด้านในวงกว้างด้วย
ด้านนายก้องเกียรติ กล่าวว่า มีแผนรับซื้อเศษวัชพืชและวัสดุทางการเกษตร กว่า 100 ตัน/ปี ตามโครงการหยุดเผา เรารับซื้อ มีเป้าหมายให้เชียงใหม่ เป็นจังหวัดคาร์บอนเครดิต เพื่อธุรกิจและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน นำไปสู่การจัดการขยะทางการเกษตร เพื่อเป็นพลังงานทางเลือกและพลังงานหมุนเวียน กลับคืนสู่ชุมชนและส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อไป
Discussion about this post