วันที่ 31 กค 66 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านที่เกิดเหตุ อยู่ในพื้นที่ ต.ชากบก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เป็นบ้านปูนชั้นเดียว ด้านหลังมีสวนผลไม้ปลูกแบบผสมผสาน เนื้อที่ 7 ไร่ มีมังคุด มะม่วง และทุเรียน ซึ่งได้ปลูกไว้นาน กว่า 4 ปี ใกล้จะออกลูกในปีหน้า ต้นทุเรียน กว่า 100 ต้น กำลังงอกงาม อุดมสมบูรณ์ แต่กลับมีบางต้น ที่กำลังยืนต้นตาย อยู่ในสภาพใบร่วงเหลือให้เห็นเพียงลำต้นและกิ่งก้าน
นางบังอร (สงวนนามสกุล) อายุ 56 ปี เจ้าของสวน บอกว่า ตนเองทำ สวนผลไม้ประมาณ 7 ไร่เศษ เกิดมาก็เห็นที่ดินผืนนี้ สมัยก่อน ปลูกเงาะ แต่พอยางราคาดี ก็โค่นเงาะปลูกยาง ต่อมายางราคาตก และต้นยางอายุพอดีก็เลยตัดต้นยางหันมาปลูกทุเรียน ค่อยๆนำทุเรียนมาลง ไว้ประมาณ 100 ต้น เมื่อสองเดือนก่อนช่วงที่อากาศร้อนจัด ได้เข้าสวนรดน้ำต้นทุเรียน ตามปกติ เห็นทุเรียนหลายต้นเริ่มมีใบเหลืองและค่อยๆร่วงหล่นก็คิดว่า ทุเรียนคงเป็นโรค แต่รู้สึกผิดปกติอย่างมากเพราะ ได้กลิ่นน้ำมันรุนแรงจึงเข้าไปดูที่โคนต้น ก็พบว่ามีรอยมีดกรีด และมีคราบน้ำมัน ทำให้รู้ทันทีว่า ถูกป้ายยาแน่นอน จากนั้น จึงได้สำรวจทั้งสวน พบว่า มีต้นทุเรียนที่ถูกป้ายยาจนตาย 11 ต้น คนร้ายใช้วิธี ราดยาและน้ำมัน โดยกรีดที่โคนต้นเพื่อให้ยาซึมเข้าต้นได้เร็ว ก่อนจะนำซากใบไม้มาคลุมบริเวณแผลที่กรีดไว้และเลือกก่อเหตุเฉพาะต้นที่โตกำลังจะออกลูก หลังเกิดเหตุได้เข้าแจ้งความไว้แล้วที่ สภ.บ้าน ค่าย โดยมีเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจสอบและแจ้งว่า ทุเรียนที่ยืนต้นตายถูกคนร้ายป้ายยาทำให้ตาย
ยอมรับว่า เสียใจอย่างมาก เพราะต้นทุเรียนทุกต้นนำมาปลูกเอง มีอายุกว่า 4 ปี ดูแลรดน้ำใส่ยา ใส่ปุ๋ย ใกล้จะออกลูกอยู่แล้ว ต้นไม้ก็เหมือนคน เขามีชีวิต แต่มีคนใจโหดที่มาทำให้เขาตายทั้งที่ยังไม่อยากตาย อยากให้ตำรวจจับได้นำมาลง โทษทางกฎหมาย และให้รับเวรรับกรรม อีกทั้งยังรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะสวนไม่มีรั้ว กำแพง ถ้ายังจับคนลงมือไม่ได้ ก็ไม่รู้จะมาก่อเหตุซ้ำอีกเมือไหร่.
Discussion about this post