ผู้สื่อข่าวจังหวัดพัทลุงรายงานว่าเมื่อเวลา 15 .00 น.วันที่ 7 ก.ย.นี้ ที่นาเลหลังโรงเรียนวัดปากประ หมู่ที่ 8 ต.ลำปำ อ.เมือง จ.พัทลุง นายพา ผอมขำ เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ( อบจ.) พัทลุง นำชาวข้าราชการ ลูกจ้าง อบจ.พัทลุง ร่วมกับเกษตรกรชาวนาในพื้นที่ ร่วมกันลงแขกเกี่ยวข้าวนาเล ที่กำลงสุกเหลืองในทะเลสาบพัทลุง สงขลา ซึ่งก่อนหน้านี้ อบจ,ร่วมกับชาวบ้านร่วมกันปักกล้าทำนาในทะเลสาบ ซึ่งมีแห่งเดียวของประเทศไทย และใช้เวลาประมาณ 3 เดือนเศษ ข้าวที่ช่วยกันทำไว้ก็ออกรวงสุกเหลืองริมทะเลสาบ อบจ.จึงได้จัดกจกรรมลงแขกเกี่ยวข้าว โดยมีชาวบ้าน นักเรียนและข้าราชการร่วมเกี่ยวข้าวในทะเลเป็ฯจำนวนมาก และที่สำคัญขณะที่ชาวบ้านลงทะเลเกี่ยวข้าว กลุ่มนักท่องเที่ยวประมาณ 40 คน นำโดยนายกมลวิทย์ ขวัญรอด (สจ.ไก) พาชาวบ้านจากพื้นที่ อ.เขาชัยสน 1 คันรถบัส ขับมาหยุดริมทะเล และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมา เดินลงไปช่วยเกี่ยวข้าวในทะเลอย่างสนุกสนาน เพราะที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยเห็นการทำนานในทะเลมาก่อน เมื่อพบระหว่างเดินทางผู้คนกำลังเกี่ยวข้าวในทะเลก็อยากจะมีส่วนร่วมด้วย
นายเคลื่อนฉ่าย สุวรรณรัตน์ อายุ 87 ปี อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8 ต.ลำปำ อ.เมืองพัทลุง กล่าวว่า ตั้งแต่ที่จำความได้ก็พบว่าชาวบ้านริมทะเลสาบลำปำ ก็มีการทำนาในทะเลมาก่อนแล้ว เมื่ออายุได้ประมาณ 7 ปี ผู้ใหญ่ก็สอนให้ทำนาในทะเล และปัจจุบันล่วงเลยมานานกว่า 70 ปี ก็ยังอาศัยทะเลทำนาข้าวเพื่อบริโภคในครอบครัว โดยถือโอกาสช่วงที่เรียกว่าลมพลัดหรือลมที่พัดจากตะวันตก ทำให้น้ำในทะเลลดต่ำลงไปประมาณ 50-100 เมตร และช่วงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ชาวบ้านก็จะเริ่มเตรียมหว่านกล้า รอจนกว่าจะมีลมตกก็จะเริ่มนำกล้าไปปักในทะเล ทิ้งไว้ประมาณ 3 เดือน โดยที่ไม่ต้องดูแลอะไร ไม่ต้องจ้างไถดิน ไม่ต้องให้ปุ๋ย ข้าวที่ปักไว้จะงอกงามและออกรวงให้เก็บเกี่ยวในช่วงเดือนกันยายน และถ้าหากปักดำช้า จะทำให้ผลผลิตเสียหาย เพราะปลายเดือนกันยายนของทุกปี น้ำทะเลจะหนุนขึ้นมาสูง ต้นข้าวจะจมน้ำเสียหาย
สำหรับเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาปลูกในนาเลนั้น เมื่ออดีตชาวบ้านจะใช้ข้าวพันธุ์พื้นเมือง ที่พ่อแม่เคยปลูกมาตั้งแต่อดีต ชาวบ้านเรียกว่าข้าวมดแดง มดดำ เพราะเป็นข้าวที่ให้ผลผลิตสูง นำมาปลูกในทะเลจะให้ผลผลิตไร่ละ 1 เกวียน แต่ปัจจุบันข้าวมดแดง มดดำ ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว นำพันข้าวชนิดอื่นมาทดลองปลูก ก็เป็นการลองผิดลองถูกมาหลายปี แต่ล่าสุดมีการสรุปแล้ว่าชาวนาในพื้นที่และปลูกข้าวในทะเล จำนวน 35 ราย มีพื้นที่ปลูกรวมจำนวน 65 ไร่ ก็จะปลูกข้าว กข.55 ที่ อบจ.สนับสนุนเมล็ดพันธุ์มาให้ ใช้ปลูกในนาทะเลไปจนกว่าจะมีข้าวพันธุ์อื่นที่ให้ผลผลิตที่ดีกว่า
ทางด้านนายพา ผอมขำ เลขานายก อบจ.พัทลุง เผยว่า การที่ชาวบ้านทำนาในทะเลสาบต่อเนื่องมายาวนานกว่า 200 ปี นั้น ถือเป็นภูมิปัญญาที่ล้ำเลิศของชาวบ้าน และเป็นหนึ่งเดียวของประ เทศไทย ที่ชาวบ้านสามารถนำต้นข้าวลงไปปักดำในทะเลและมีค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพ ไม่ต้องลงทุนให้ปุ๋ย ไม่ต้องใช้สารเคมีฆ่าแมลง ธรรมชาติจะช่วยสร้างความสมดุล เมื่อเกิดการระบาดของแมลงน้ำในทะเลก็ขึ้นลงท่วมต้นข้าว ปลาในทะเลก็จะได้กินแมลง เป็นการปราบศัตรูในนาข้าวโดยธรรมชาติ และกิจกรรมทำนาในทะเลของเกษตรกรบ้านปากประที่มีแห่งเดียวในประเทศนั้น อบจ.พัทลุง ก็พร้อมที่จะร่วมกิจกรรมและอนุรักษ์มิปัญญาของชาวบ้านให้คงอยู่และสืบทอดไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน.
Discussion about this post