
วันที่ 29 พ.ย.66 สิบเอก ชิษณุพงศ์ สัตตะโส อายุ 53 ปี ตำแหน่งพลสารวัตรร้อย ส.ห.มทบ. 210 ได้เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว ว่าตนรับราชการเป็นทหารตำแหน่ง พลสารวัตรร้อย ส.ห. มทบ.210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง อ.เมือง จ.นครพนม เมื่อประมาณปี 2559 ตนได้กู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ มทบ.210 เป็นจำนวนเงิน หนึ่งแสนบาท ต่อมาประมาณปี 2560 ถึง2561 ตนมีความจำเป็นต้องซ่อมรถยนต์ที่ใช้อยู่จึงได้ขอกู้เพิ่มอีก 120,000 บาท รวมสองครั้งเป็นเงิน 220,000 บาท
หลังจากนั้นได้กู้เงินฉุกเฉินอีก 10,000 บาททรวมเป็นเงินที่กู้จริง เพียง 230,000 บาทเท่านั้น โดยเงินจำนวนนี้สหกรณ์ให้ตนเซ็นชื่อรับเงินไว้บนกระดาษ A4 เป็นหลักฐาน และส่งเรื่องให้ทาง การเงินหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้มาทุกๆ เดือนตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาและไม่เคยกู้เงินเพิ่มอีกแต่อย่างใดจนกระทั่งเมื่อประมาณปลายเดือนสิงหา คม 2566 ทางสหกรณ์ออมทรัพย์ มทบ. 210ได้ประกาศให้สมาชิกไปตรวจสอบสถานะทางการเงินของแต่ละคน ซึ่งหลังตรวจสอบแล้วพบว่าตนเป็นหนี้สหกรณ์ออกทรัพย์ มทบ. 210 อยู่ถึง 850,000 ซึ่งไม่ตรงกับจำนวนเงินที่ได้กู้ไปจริง ที่กู้เพียง 230,000 บาท ซึ่งมียอดเพิ่มขึ้น 650,000 บาท ตนจึงไม่เซ็นรับสภาพหนี้ยอดดังกล่าว พร้อมขอถ่ายสัญญาเงินกู้ที่ทำไว้กับทางสหกรณ์
ปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่สหกรณ์รายหนึ่งได้นำสัญญาเงินกู้ เลขที่ 59/65 ลงวันที่ 31 พ.ค.65 มาให้ดูทำให้ตนรู้ทันทีว่ามีการกรอกตัวเลขเงินกู้ขึ้นมาใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ จนท.คนดังกล่าว ได้ให้ตนเซ็นชื่อไว้ในแบบฟอร์มสัญญาเงินกู้ฉบับเปล่า โดยยังไม่ได้กรอกข้อความใดๆ ด้วยความไว้ใจกัน เนื่อง จากเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่จึงได้เซ็นไว้ให้ โดยไม่คิดว่าจะมีการกรอกตัวเลขเงินกู้เพิ่มจากที่กู้จริงภายหลัง ซึ่งหากมีการกู้เงินจากสหกรณ์จริงตามสัญญา ก็ต้องมีการหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้คืนให้กับสหกรณ์ตั้งแต่ปี 2565 แล้ว ขณะที่ทางสหกรณ์เพิ่งมาหักเงินเดือนตนเพิ่มจากหนี้เดิมในเดือนตุลาคม 2566 นี้เอง ซึ่งเป็นเวลากว่าหนึ่งปีนับจากที่กู้ตามสัญญาเงินกู้ ที่ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2565
และหลังจากนั้นก็มีการประชุมสมาชิกสหกรณ์อีก 2-3 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งจะมีเสนาธิการ มทบ. 210 เป็นประธาน และได้ข้อสรุปในที่ประชุมว่าให้ลูกหนี้ที่มีชื่ออยู่ในสัญญาเงินกู้ต้องยินยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้กับสหกรณ์และจะขยายระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปให้อีก 300 งวด และก็มีการเริ่มหักเงินเดือนของตนเพิ่มทันที จากที่เคยถูกหักเดือนละ 5,170 บาท เพิ่มเป็นเดือนละ 12,580 บาท ทำให้ตนไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้กับเงินเดือนที่เหลืออยู่เพียงสามพันกว่าเท่านั้น หรือหากจะมีการขยายเวลาออกเป็น 300 งวดตนก็ต้องเป็นหนี้ต่อไปอีกถึง 25 ปี ตนเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยมีรายได้จากเงินเดือนไม่กี่บาท ที่ผ่านตนก็พยายามวางแผนทางด้านการเงินและใช้จ่ายตามฐานะโดยพยายามกู้เงินแต่พอเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ตนขอยืนยันว่าไม่ได้กู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ มทบ.210 ยอดสูงถึงแปดแสนบาทแต่อย่างใดและถ้าจะต้องถูกหักเงินเดือนถึงเดือนละ 12,580 บาทเพื่อชำระหนี้ที่ตนไม่ได้กู้ ตนก็ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขได้อย่างแน่นอน ตนจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนัก งานสอบสวน สภ.เมืองนครพนม เมื่อวันที่ 9 พฤศ จิกายน 2566ให้เอาผิดกับเจ้าหน้าที่สหกรณ์ออมทรัพย์ มทบ.210 รายนี้ และผู้ร่วมขบวนการในการปลอมแปลงเอกสารที่เป็นสัญญาเงินกู้ดังกล่าวโดยจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ตนทราบข่าวจากเพื่อนสมาชิกสหกรณ์ด้วยกันว่ายังมีกรณีแบบตนเกิดขึ้นอีกนับสิบราย บางรายไม่ได้กู้เงินเลยแต่กลับมีสัญญาเงินกู้ถึงสองฉบับ แต่ ละรายมียอดกู้สูงถึงห้าหกแสนบาท ซึ่งเท่าที่ทราบตอนนี้มูลค่าความเสียหายน่าจะมากกว่า 10 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไป ที่ทำการสหกรณ์ออมทรัพย์ทหารบก มณฑลทหารบกที่ 210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง จังหวัดนครพนม โดย พ.อ.สุดเขตต์ พลยะเรศ เสธ.มทบ.210 ตำแหน่งประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ทหารบกจังหวัดนครพนม กล่าวว่า ทันทีที่ทราบเรื่องร้องเรียนทางคณะกรรมการของสหกรณ์ฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ร่วมกับนายทหารพระธรรมนูญ ได้เรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องภายในสำนักงานสหกรณ์พร้อมทั้งสมาชิกที่ร้องทุกข์เพื่อสอบข้อเท็จจริงทันที พบว่ามีเจ้าหน้าที่บางคนในสหกรณ์ได้ทำการบันทึกข้อมูลแก้ไขข้อความอันเป็นเท็จส่อทุจริตต่อการปฎิบัติหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่ผู้กระทำผิดคนดังกล่าวก็ได้ยอมรับสารภาพจึงได้มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งดำเนินการรวบรวมเอกสารการกระทำผิดต่างๆ เพื่อยื่นแจ้งความดำเนินคดีภายใน 20 ธันวาคม 2566 ข้อหายักยอกฉ้อโกงทรัพย์ต่อเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ออมทรัพย์รายดังกล่าว
สำหรับ สิบเอก ชิษณุพงศ์ สัตตะโส พลสาร วัตร ร้อย ส.ห. มทบ.210 จากการตรวจสอบลายเซ็นในเอกสารต่างๆไม่มีการปลอมแปลงแต่อย่างใด พบเพียงในเอกสารมีรายการแก้ ไขข้อมูลรวมถึงกรอกข้อมูลรายละเอียดบางรายการอันเป็นเท็จและไม่ได้เซ็นชื่อกำกับไว้แต่อย่างใด โดยทางสหกรณ์ก็ได้ทำการอธิบายให้กับ สิบเอก ชิษณุพงศ์หรือชื่อเดิมรังสรรค์ สัตตะโส จนเป็นที่เข้า ใจแล้วก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ทางผู้บริหารสหกรณ์ออมทรัพย์ ได้ยืดขยายสัญญาการผ่อนชำระหนี้ ให้จาก 200 งวด ออกเป็น 300งวด เพื่อให้มีสภาพคล่องต่อการดำรงชีพตามสมควร
อย่างไรก็ตามสำหรับวงเงินกู้จำนวน 8 แสนบาท ทาง สิบเอก ชิษณุพงศ์ สัตตะโส คงต้องฟ้องร้องทางแพ่งกับเจ้าหน้าที่สหกรณ์คนดังกล่าวด้วยตนเอง เนื่องจากการทำธุรกรรมนี้ทางจนท.คนดังกล่าว รับว่าดำเนินการแก้ไขตัวเลขเงินกู้โดยพละการ เมื่อทางผู้บริหารพบการกระทำผิดจึงให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยตนเชื่อว่าเหตุการณ์นี้น่าจะมีการสมรู้ร่วมคิดกันทั้งสองฝ่าย และเมื่ออีกฝ่ายต้องรับผิดชอบใช้หนี้คนเดียวจึงออกมาร้องเรียนดังกล่าว.
Discussion about this post