จากกรณีเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 66 ที่ผ่านมานายนนทรานุวัฒน์ พรหมจันทร์ ประธานคณะติดตามงานจังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยนายปรีชา หรือตั้มเครือพลอย อายุ 42 ปี และ น.ส.ศิริลักษณ์ จันทร์อ้น อายุ 32 ปี สองสามีภรรยา หอบเอก สารหลักฐานต่างๆเดินทางเข้าพบนายวัชระ เลิศพงศ์วรพันธ์ ทนายความ เพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มเครือญาติจำนวน 6 คน หลังคาดว่ามีการปลอมลายเซ็นในพินัยกรรมของนางชุ่ม เครือพลอย แม่ของนายปรีชา และนำที่ดินมรดกบางส่วนไปขายได้เงินมากว่า 50 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีที่ดินอีกเกือบ 100 ไร่ มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ถูกแอบอ้างโอนเป็นชื่อเครือญาติโดยการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกแทนลูกชาย โดยทางผู้เสียหายได้แจ้งความไว้ พนักงานสอบสวน สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี เพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มเครือญาติที่หลอกให้ตนเองเซ็นพินัยกรรมมรดกของแม่ในครั้งนี้แล้ว

ต่อมานางสาวบุญเสริม เม้าท์พุ่ม อายุ 64 ปี หลานสาวแท้ๆของคุณยายชุ่ม เครือพลาย อายุ 79 ปี ได้นำเอกสารหลักฐานต่างๆรวมทั้งโฉนดที่ดินจำนวนนับ 10 แปลง ซึ่งเป็นของคุณยายชุ่มมาแสดงให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมทั้งเปิดเผย เรื่องราวอย่างละเอียดว่า ข่าวที่นายปรีชา เครือพลอย หรือตั้ม ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อนั้น ไม่ใช่เรื่องจริงเลย นายตั้ม เป็นเพียงเด็กทารกที่คุณยายชุ่ม ไปขอมาจากโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าตั้งแต่ยังแบเบาะ เลี้ยงดูอย่างดี แต่นายตั้ม กับประพฤติตัวไม่ดี ไม่เล่าเรียนหนังสือ ทำตัวเป็นนักเลงเกเรคนในครอบครัวไปทั่วชอบทำร้ายตบตีคุณยายชุ่ม กับคุณตามวล เป็นประจำ นายตั้มชอบทำลายข้าวของในบ้านเวลาขอตังค์กับยายชุ่มไม่ได้
จนกระทั่งเมื่อหลายปีที่แล้วนายตั้มได้ก่อเหตุวิ่งราวโดยใช้ยานพาหนะ เมื่อพ้นโทษออกมาในปี 61 ก็ก่อเหตุใช้อาวุธมีดจี้ข่มขืนจนถูกศาลตัดสินจำคุก พอปี 65 พ้นโทษออกมาก็มาบังคับให้ทางญาติๆคุณยายชุ่ม ขายโฉนดที่ดิน จำนวน 11 ไร่ ทุกคนไม่เห็นด้วย เพราะอยากเก็บไว้เนื่องจากว่าอนาคต ราคาที่ดินจะแพงขึ้นมาก นายตั้มไม่ยอม ข่มขู่ทุกคนในบ้านว่าจะยิงทิ้งให้หมด แล้วจะเป็นผู้จัดการมรดกเอง ทางญาติเกรงกลัวจึงต้องตัด ใจขายที่ดินดังกล่าวไป 11 ไร่ได้เงินมา 11 ล้าน และแบ่งกันไปคนละ 1 ล้าน 8 แสนบาท
หลังจากถลุงเงินจนหมดแล้ว นายตั้มได้มาบอกให้กับญาติพี่น้องคุณยายชุ่ม ขายที่ดินย่านถนนรัตนาธิเบศร์ โดยนายตั้มเองเป็นคนจัดการทุกอย่าง ท่ามกลางเสียงคัดค้านของญาติพี่น้องยายชุ่ม แต่นายตั้มก็โมโหไม่ยอมข่มขู่เหมือนเดิม คนในครอบครัวเกรงกลัวจึงต้องยอม และนายตั้มเองแหละเป็นคนพาผู้ซื้อมาซื้อที่ดินแปลงนี้ โดยบอกกับทางญาติว่าขายได้ 36 ล้านบาท และนำมาแบ่งให้กับญาติทั้งหมด 4 คนที่มีชื่ออยู่ในโฉนดคนละ 9 ล้านบาท ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงนายตั้มเองขายไปถึงราคา 48 ล้านบาท
ส่วนที่นายตั้มบอกว่า พินัยกรรมที่คุณยายชุ่มทำให้เซ็นให้นั้นอาจไม่ใช่ของจริง ตนยืนยันได้เลยว่า พินัยกรรมทำขณะที่คุณยายชุ่มยังมีสติ สัมปชัญญะดี มีนิติกร รวมทั้งคนในครอบ ครัวมาเป็นพยานรับรู้ สามารถให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ตลอดเวลา โดยก่อนที่คุณยายชุ่มจะเสียชีวิต ยังได้บอกกับตนเองซึ่งเป็นหลานสาวคนโต และเป็นผู้จัดการมรดกว่าเสียใจเหนื่อยใจแล้วก็ผิดหวังมากที่นายตั้มทำตัวแบบนี้ ทั้งๆที่ขอมาเลี้ยงดูอย่างดีตั้งแต่ยังเป็นทารก คุณยายชุ่มยังสั่งเสียตนเองว่าหากขายทรัพย์สินสมบัติแล้วใครมีชื่ออยู่ในโฉนดที่คุณยายทำไว้ให้ก็จะให้แบ่งเท่าๆกันหมด ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนายตั้มถึงได้ออกมาให้ข่าวที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเลยในเรื่องนี้ ตนไม่ขอฟ้องร้องหรือเอาเรื่องเขาหรอกเพียงแต่อยากให้เขายุติเรื่องราวลง เพราะความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างที่นายตั้มออกไม่ให้ข่าวกับสื่อแต่อย่างใด
ต่อมา พ.ต.ต.ณัฐวุฒิ มิ่งเมือง สว.(สอบสวน) เจ้า ของคดี ได้เลือกคู่กรณีทั้งสองฝ่าย มาพูดคุยเจรจาตกลงถึงกรณีข้อพิพาทที่เกิดขึ้น โดยฝ่ายนายตั้ม เดินทางมาพร้อมด้วยทนายความ ขณะที่นางสาวบุญเสริม เม้าส์พุ่ม เดินทางมาพร้อมกับญาติๆอีก 5 คน ที่มีชื่อในโฉนดที่ดินของยายชุ่ม และถูกนายตั้มกล่าวหาว่าร่วมกันปลอมลายเซ็นพิกรรมยายชุ่ม โดยทั้งสองฝ่ายพูดคุยเจรจาโต้เถียงกันอย่างดุเดือดนานกว่า 1 ชั่วโมง ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้จึงต้องยกเลิกการเจรจาลงในวันนี้
น.ส.บุญเสริม กล่าวว่า สาเหตุที่เดินทางเข้ามาวันนี้ เพราะถูกตามให้เข้ามาประนีประนอมในเรื่องของทรัพย์สินที่เหลืออยู่ ซึ่งมีชื่อของคู่กรณีในโฉนด แต่การเจรจาผลออกมาว่าอีกฝ่ายควรได้รับเงินชดเชย ทั้งที่คู่กรณีหาคนมาซื้อทรัพย์ สินในราคา 36 ล้านบาท และตัวของคู่กรณีไม่ทราบว่ามีการตกลงกันอย่างไรถึงได้ส่วนแบ่งไปแค่ 7 ล้านบาท ในขณะที่ตนได้เงิน 9 ล้านบาท จึงได้มาขอส่วนแบ่งที่เกินไปให้ได้ 9 ล้านเท่ากัน ในฐานะที่เขาเป็นฝ่ายหาคนมาซื้อและออกเช็คให้ คิดว่ามันยุติธรรมแล้วหรือไม่ อย่างไรคู่กรณีอ้างว่าหากพินัยกรรมฉบับนี้มีการปลอมแปลงเกิดขึ้นจะกลายเป็นคดีอาญาทันที ตนยืนยันว่าพินัยกรรมฉบับนี้เป็นของจริง เพราะไม่มีสิทธิ์ไปแก้ไขอะไร และขอต่อสู้จนกว่าจะถึงศาลชั้นฎีกา การซื้อขายในครั้งนั้นตนไม่ได้คิดจะขายแต่ถูกบังคับ และขายไปในราคาที่ถูก ตอนแรกบอกไว้ว่าขายได้ 40 ล้านบาท แต่อ้างว่ามีค่าภาษีหลายอย่าง เหลือเพียง 36 ล้านบาท ตนไม่ได้คิดว่าจะมีปัญหาตามมา เพียงเห็นว่าอีกฝ่ายต้องการใช้เงิน และถูกข่มขู่มาตลอดจึงตกลงขายไป แต่น้องอีกคนต้องการขายในราคาเต็ม ตนจึงหักเงินส่วนที่จะได้ 10 ล้านบาท อีก 500,000 บาท ให้น้องไป อีกฝ่ายยืนยันว่าขอส่วนแบ่งแค่ 7 ล้านบาทก็เพียงพอ
แต่วันนี้มาขอส่วนแบ่งเพิ่ม ตอนนี้ยังตกลงกันไม่ได้ และทนายอ้างว่าคดีนี้เป็นคดีอาญา ต้องติดคุก และพินัยกรรมจะเป็นโมฆะ จะทำให้ตนไม่ได้รับสมบัติ เพราะจะกลายเป็นของคู่กรณีแต่เพียงคนเดียว หากเป็นแบบนี้จริงอยากให้ทุกคนรู้ว่าตนทำเพื่อความถูกต้อง ไม่ได้ปลอมแปลงเอก สารแต่อย่างใด หลังจากนี้ถ้าออกมาแก้ข่าวแล้วยังไม่เป็นผลดี ควรจะต้องมีทนายมาต่อสู้ได้แล้ว อยากให้มีทนายเข้ามาช่วยเหลือเพราะตนไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย ยืนยันว่าไม่ได้มีการแก้ไขและดูแลทรัพย์สินทั้งหมดมา 11 ปีเต็ม และคู่กรณีเป็นเพียงบุตรบุญธรรมที่ขอมาเลี้ยง ตั้งแต่ยังแบเบาะเท่านั้น ตอนนี้ตนอายุ 64 ปีแล้วและคุณยายชุ่ม ก็เสียชีวิตตอนอายุ 79 ปีไม่ใช่ 88 ปีตามที่ เขาให้ข่าว ตนเติบโต อยู่ใกล้ชิดมากับคุณยายชุ่มตลอด ไม่เคยเห็นคุณยายชุ่มตั้งท้องเลย อีกทั้งคุณยายยังป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก จะมีลูกได้อย่างไร ส่วนที่ฝ่ายคู่กรณีเอาสูติบัตรมาโชว์นั้น ในสูติบัตรก็ระบุอยู่แล้วว่า ยายชุ่มกับตาประ มวลไปขอคู่กรณีมาเลี้ยง ตั้งแต่ยังเป็นทารก เพิ่งลืมตาดูโลก ตามวลยายชุ่มก็รักเขามาก ในพินัย กรรมอีก 6 แปลง ก็มีชื่อของเขาอยู่ ตนก็ไม่เข้า ใจว่าทำไม เขาถึงต้องการสมบัติที่ไม่ใช่ของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างยายชุ่ม จัดสรรแบ่งปันให้ทุกคน ป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนจะเสียชีวิต
นายอิทธิพล ละมูลภักดิ์ อายุ 55 ปี (ลูกพี่ลูกน้องกับ น.ส.บุญเสริม เผยว่าตนเป็นคนที่ร่วมเดินทางไปกับยายชุ่ม และตามวล โดยรับนายตั้มมาจากโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าตั้งแต่แบเบาะ ป้าอยากได้ลูก ได้มีการปรึกษาพี่น้องแล้วว่าอยากมีน้องหรือไม่ ซึ่งทุกคนไม่ได้ขัดข้องอะไร ตนเป็นคนไปกับคุณป้าด้วยตัวเอง เพราะปกติจะไปไหนมาไหนกับป้าตลอด ตอนนั้นไปที่โรงเรียนเพื่อให้คนพาไปที่โรงพยาบาล เพื่อนำเด็กคนนี้มาเลี้ยง ตนก็เลี้ยงน้องเหมือนน้องแท้ ๆ หนึ่งคน ทางโรงพยา บาลได้มีการออกใบสูติบัตรมาให้ ทุกคนช่วยกันเลี้ยงและดูแลเหมือนน้องในไส้ เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าโตขึ้นมาแล้วจะมาออกฤทธิ์ออกเดชได้ขนาดนี้ วันๆมีแต่เรื่องทั้งนั้น ช่วงนั้นยาบ้าเม็ดละ 200 บาท เขาติดยาค้ำคอป้าของตนเพื่อขอเงิน จนตนต้องออกมาตีด้วยตัวเอง ทำลายข้าวของในบ้าน น้องเคยมีเมียมีลูก สุดท้ายก็พากันหนีไป
หลังจากนั้นถึงได้หยุดคลั่ง ตนสงสารป้าชุ่มมากนอนร้องไห้น้ำตาตกในทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ป้าไม่ร้องไห้เลย ป้าหนักใจเพราะลูกคนนี้ ป้ารักเหมือนลูก ขายที่ได้ 30 กว่าล้านให้ลูกคนนี้ทั้งหมด แต่นำเงินไปทำอย่างอื่นจนป้าป่วย เงินก็หมด ได้พี่สาวคนโตที่ป้ารับเลี้ยงมาเล่นกัน ช่วยกันดูแล ค่าใช้จ่ายในบ้าน เงินที่น้องชายต้องใช้ในคุก ส่วนตนนั้นตัดปัญหาจึงออกไปหาบ้านอยู่เองเพราะเคยโดนขโมยทองที่วางไว้ในห้องนอน เพิ่งมารู้ข่าวจากพี่สาวว่าป้าป่วยหนัก ถึงได้กลับมาเยี่ยมและดูแล พาไปส่งโรงพยาบาล ย้อนกลับไปตอนที่ได้รับใบสูติบัตรตอนนั้นตนยังเด็ก ไม่รู้เรื่องมารู้ทีหลังว่านี่คือใบเกิด แต่ยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรบุญธรรม ไม่ใช่บุตรทางสายเลือด วันนี้เข้ามาเจรจาได้คุยกับทนายอย่างเดียว วันนี้ทางตนบกพร่องคือไม่ได้แต่งตั้งทนายเข้ามาร่วมพูดคุยด้วย ทางเขานำทนายมาอ้างแต่กฎหมายพูดจาต่างๆให้เรากลัว เรา เราอยากขอความเป็นธรรมในเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะทุกอย่างเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ได้
ความคืบหน้าล่าสุดของคดีนี้นั้นเมื่อเวลา 13.00 นวันที่ 26 ธันวาคม 66 ที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ พันตำรวจตรีณัฐวุฒิ มิ่งเมือง สารวัตรสอบสวนเจ้า ของคดีได้เรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาเจรจาหาข้อสรุปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น การเจรจาใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง จึงสามารถ ตกลงกันได้ โดยทางฝ่ายนายปรีชาหรือตั้ม และนางสาวนุศรา จันทร์อ้น แม่ยาย รวมทั้งทนายความของนายตั้ม ขอยุติเรื่องราวทั้งหมด และขอถอนแจ้งความ กับฝ่าย นางบุญเสริม และญาติๆทั้ง 6 คน โดยนายตั้ม และ แม่ยาย ได้ยกมือ ไหว้ขอโทษนางบุญเสริมและญาติๆ โดยทางฝ่ายทนายนายตั้มเองก็ได้ยกมือไหว้ขอโทษกับเหตุการณ์ในครั้งนี้เช่นกัน
นายปรีชา หรือตั้ม เรื่องที่เกิดขึ้นตอนรู้สึกเสียใจ เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ วันนี้หลังจากที่มีการเจรจาพูดคุยกันแล้ว ตนรู้สึกผิดอย่างมากจึงอยากขอให้ทางนางสาวบุญเสริม และญาติๆทั้งหมดยกโทษและอภัยให้กับตนเองด้วย โดยนายตั้มได้ยกมือไหว้ขอโทษทุกๆคนหลังพูดจบ
นางสาวบุญเสริมเอง เปิดเผยว่า ตนดีใจที่นายตั้ม เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตนเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ยังเล็ก รักใคร่เหมือนลูกหลานคนหนึ่ง ตอนที่เขาพ้นโทษจากเรือนจำตนยังซื้อแหวนทองให้ 1 วง เพื่อเป็นการรับขวัญ วันนี้ในเมื่อเขาคิดได้สำนึกได้ตนและญาติๆทุกคนก็ยินดีให้อภัยสมบัติทุกชิ้นที่เป็นของยายชุ่มหากมีการขายก็จะแบ่งปันตามส่วนให้กับคนที่มีชื่อตามที่ยายชุ่มได้ทำพินัยกรรมไว้ ขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้ความเป็นธรรมและเสนอข่าวตนเอง ไม่อย่างนั้นสังคมคงเข้าใจผิด คิดว่าตนเป็นคนไม่ดี ทั้งๆที่พินัยกรรมดังกล่าว เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเรื่องจริง
ส่วนนางนุศรา จันทร์อ้น อายุ 51 ปี แม่ยายนายตั้ม ยกมือไหว้คู่กรณีนางสาวบุญเสริม และญาติๆ พร้อมกล่าวว่า ในวันที่ไปออกข่าวอาจจะเกิดการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน การที่ไปพูดออกสื่อยังไม่ทราบข้อมูลที่ชัดเจนจากทางพวก พี่ๆ จึงเข้าใจผิดและคาดว่าคงจะให้อภัยกันได้อยากจะขอ โทษแทนแหม่มลูกสาวที่ให้ข่าวไปก่อนหน้านี้ด้วย
ขณะที่นายวัชระ ทนายฝ่ายนายตั้ม กล่าวว่า ตนต้องการให้พี่น้องมีการประนีประนอมซึ่งกันและกัน อยากให้พี่น้องมองถึงความเป็นจริงของความรักภายในครอบครัวเป็นหลัก หลายอย่างที่เกิดขึ้นอาจเข้าใจผิดจากตัวน้อง มีความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และด้วยอารมณ์ความเป็นน้องบางส่วน วันนี้ทางเราขอไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายมีความรักกันเหมือนเดิม ในอดีตเคยเลี้ยงดูปูเสื่อกันมาอย่างดี อยากให้จบกันด้วยดี เพราะครอบครัวในไทยส่วนใหญ่อบอุ่นอยู่แล้ว ทางด้านคดี การแจ้งความไม่ได้ระบุว่าฝ่ายใดเป็นคนผิดเพียงแต่เป็น การตั้งข้อสงสัย สำหรับเรื่องที่จะสืบสวนต่อวันนี้ได้ยกเลิกการดำเนินการแล้ว เพราะหมดข้อสงสัย ทุกอย่างจึงจบด้วยดี และตนก็ต้องขอโทษทางฝ่ายนางสาวบุญเสริมกับญาติๆ พร้อมยกมือไหว้ขอโทษ ก่อนที่นายตั้มจะโผล่เข้ากอดนาง สาวบุญเสริมกับญาติๆ อย่างชื่นมื่น เป็นอันจบคดีมรดก 200 ล้านด้วยดีในครั้งนี้.
Discussion about this post