
เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 10 มกราคม 2567 ขณะที่ ร.ต.อ.สรวิศิษฏ์ มีเพียร รอง สว.สอบสวน สภ. เมืองอุดรธานี นำกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่ได้รับแจ้งว่า มีเหตุหญิงอายุ 42 ปี ผูกคอเสียชีวิตภายในบ้านพัก พื้นที่บ้านหนองนาหล่ำ ต.สามพร้าว อ.เมืองอุดรธานี หลังจากได้รับแจ้งจึงไปตรวจสอบพร้อมแพทย์เวร รพ.ศูนย์อุดรธานี และอาสากู้ภัยมูลนิธิส่งเสริมธรรมแห่งอุดรธานี
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว พบร่างของนางสาวอรอุมา หรือเจน (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี เจ้าของบ้าน สวมชุดนอนสีครีม ใช้เชือกไนล่อนสีน้ำเงินผูกคอตัวเองโยงกับขื่อหลังคา ปลายเชือกมัดเข้ากับช่องลมกำแพงข้างบ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการชันสูตรพลิกศพ
จากตรวจสอบตามร่างกายและรอบบริเวณไม่พบร่องรอยการต่อสู้และถูกทำร้าย จนทำให้เสียชีวิตแต่อย่างใด ที่พื้นใกล้ศพพบมีเก้าอี้ไม้วางตั้งอยู่ คาดว่าผู้ตายใช้ปีนขึ้นไปผูกคอ เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าเสียชีวิตจากขาดอากาศหายใจ ด้วยการผูกคอตัวเองมาประมาณ 7-8 ชั่วโมง และพบจดหมายสั่งเสียลูกชาย และคนข้างบ้านที่เคารพรักนับถือเหมือนพ่อแม่แท้ๆ วางอยู่ในครัว และพบว่ามีจดหมายของผู้ตายวางอยู่ในห้องครัวเป็นกระดาษบิลเงินสด
ข้อความที่เขียนด้วยลายมือของผู้ตายพร้อมกับลงชื่อตัวเองว่า “แม่ขอโทษ แม่ผิดเอง ที่ดูแลลูกไม่ดี แม่ขอโทษนะลูก สมบัติทุกอย่างของข้าพ เจ้า ขอมอบให้นางปุ๊ และนายประยูร ลาสนธิ”
จากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ตาย พบว่าเมื่อเวลา 21.46 น. วันที่ 9 ม.ค. ผู้ตายได้วีดีโอคอลหาเพื่อนชายชาวต่างชาติประเทศนอร์เวย์ ที่เพิ่งคบหากัน หลังจากแยกทางกับสามีชาวนอร์ เวย์ได้ประมาณ 1 ปีกว่า ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในมือถือผู้ตาย ระบุเวลา 23.00 น. พบผู้ตายขับรถเก๋งสีขาว ยี่ห้อมาสด้า 2 ถอยเข้าโรงเก็บรถหน้าบ้าน จากนั้นผู้ตายได้เดินปิดประตูหน้าบ้าน ก่อนเดินเข้าไปทางข้างบ้าน ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ตายผูกคอเสียชีวิต
จากการสอบสวนนายพูลศรี โพธิจักร อายุ 48 ปี ชาวบ้านหนองนาหล่ำ ผู้พบศพคนแรก ให้ การว่า ผู้ตายเคารพรักตนเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง และได้ขอให้ตนมารับส่งน้องเจเจ อายุ 13 ปี ลูกชายของผู้ตาย ที่ตนรักเหมือนหลาน โดยผู้ตายให้ค่าจ้างเงินเดือนละ 2 พันบาท บางวันตนก็ขี่รถจยย. ของตนไปส่ง บางวันก็ขับรถเก๋งของผู้ตายไปส่ง ตอนที่เขาไปทำงานเป็นหมอนวดแผนโบราณที่ประเทศสิงคโปร โดยทิ้งกุญแจรถเก๋งไว้ให้ตนใช้รับส่งลูกไปโรงเรียน ก่อนพบศพ ตนก็ขี่รถ จยย. มารับลูกชายของผู้ตายตามปกติ เมื่อเดินเข้าไปทางครัวหลังบ้าน ก็พบผู้ตายผูกคอเสียชีวิตแล้ว ตนตกใจจนขาสั่นทำอะไรไม่ถูก จึงวิ่งไปบอกคนข้างบ้านที่ผู้ตายเคารพรักและนับถือเหมือนพ่อแท้ๆ เพราะเลี้ยงน้องเจเจ ลูกชายของผู้ตายมาตั้งแต่แบเบาะ หลังจากผู้ตายเลิกกับสามีคนไทย
“ผู้ตายเป็นคนร่าเริง ไม่คิดว่าเขาจะมาคิดสั้นแบบนี้ ส่วนสาเหตุตนคิดว่าผู้ตายเครียดสะสม หลังจากแยกทางกับสามีชาวนอร์เวย์ เมื่อประมาณ 1 ปีกว่า จากนั้นเขาก็มีอาการซึมเศร้า และดื่มเหล้าหนัก แล้วเขาเดินทางกลับมาจากทำงานหมอนวดแผนโบราณที่ประเทศสิงคโปร ได้ประมาณ 2 เดือน และเคยพูดให้ตนฟังว่า ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หลังจากไปหาหมอ อยากบอกดวงวิญญาณน้องเจนว่า ให้ไปสู่สุขคติในภพภูมิที่ดี ไม่ต้องเป็นห่วงลูก เพราะตายายเขาจะเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนให้ ถึงจะไม่ใช่ตายายแท้ๆ ก็ตาม”
นายประยูร ลาสนธิ อายุ 63 ปี เปิดเผยว่า เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผู้ตายทำงานอยู่ที่บริษัทขายวัสดุก่อสร้างมีชื่อแห่งหนึ่งในตัวเมืองอุดร ธานี และเช่าห้องพักอยู่กับสามีคนไทยใกล้บ้านของตนเอง ก่อนทั้งสองคนจะแยกทางกัน ตนและภรรยารักและเอ็นดูผู้ตายเหมือนลูก สาว เวลาผู้ตายนำลูกชาย คือน้องเจเจ มาให้ตนเลี้ยงดูเวลาออกไปทำงาน ตั้งแต่น้องเจเจ อายุเพียง 8 เดือน ตนและภรรยาก็รักเหมือนหลานในใส้ จากนั้นเขาก็เดินทางไปทำงานต่างประเทศ และพบรักใหม่กับชาวเนอร์เวย์ ก่อนจะมาแยกทางกันเมื่อประ มาณ 1 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่จดทะเบียนหย่ากัน “ผู้ตายเป็นคนร่าเริง เมื่อก่อนดื่มเหล้าบ้างแต่ไม่หนัก ระยะหลังจากแยกทางกับสามีชาวนอเวย์ ก็ดื่มหนักขึ้น จนมีอาการป่วยซึมเศร้า หลังจากเขากลับมาจากต่างประเทศที่เขาไปทำงานนวดแผนโบราณ ประมาณ 2 เดือน ผู้ตายมีน้องสาวคนเดียวทำงานอยู่ที่ กทม. ส่วนพ่อไปมีครอบครัวใหม่ หลังจากแม่ผู้ตายเสียชีวิต ตอนนี้ได้แจ้งน้องสาวผู้ตายให้รับรู้แล้ว ก่อนเกิดเหตุก็ไม่มีลางสังหรณ์ หรือลางร้ายบอกเหตุล่วงหน้าเลย อยากบอกดวงวิญญาณของเจน ให้รับรู้ว่า ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกชายของเจน พ่อก็จะเลี้ยงดูแลเหมือนลูกหลาน ตามที่เคยเลี้ยงดูแลมา 10 กว่าปี ให้ไปสู่สุขติภพภูมิที่ดี ในที่ของลูกเจนชอบ”
หลังจากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่เห็นว่าญาติไม่ติดใจในสาเหตุแห่งการเสียชีวิต เจ้าหน้าที่จึงได้นำศพผู้ตายไปตรวจสอบอีกครั้งที่ รพ.ศูนย์อุดรธานี ก่อนมอบศพให้ไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป.
Discussion about this post