ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ก.พ.67 ที่ผ่านมา นางบุญทา ด้วงรอด อายุ 54 ปี พร้อมแม่ นางน้ำ ด้วงรอด อายุ 75 ปี อยุ่บ้านเลขที 38 ม.15 ต.โคกม่วง อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง มีเงิน 80 บาท นั่งรถตู้โดยสารจากบ้าน พื้นที่ อ.เขาชัยสน ไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพัทลุง เหลือเงินติดตัวเพียง 20 บาท เพื่อเข้าร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดให้ช่วยเหลือ หลังถูกกรมบังคับคดี มาปิดบังคับคดีขายทอดตลาดบ้านที่ตัวเองอาศัย โดยที่เจ้าตัวและแม่ งงว่าเรื่องอะไร
ขณะเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพัทลุงระบุว่าเรื่องดังกล่าวหมดอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราช การจังหวัด แต่ทางศูนย์ดำรงค์ธรรมจังหวัดแนะ นำให้ไปพบอัยการคุ้มครองสิทธิ์ ที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดพัทลุง โดยเจ้าหน้าที่บอกว่าต้องรอ เพราะต้องผ่านการประชุมของคณะกรรมการอีก 1 เดือน ทำให้ 2 แม่ลูกยิ่งกังวลขึ้นไปอีก เพราะหากเวลานานไปบ้านถูกขายทอดตลาดแน่นอน
โดยนางน้ำ ด้วงรอด อายุ 75 ปี ผู้เป็นแม่เล่าว่า วันนั้นที่อยู่บ้านมีเจ้าหน้าที่บังคับคดี 2 คนเดินทางมาปิดป้ายบ้านเพื่อขายทอดตลาด ตนเองก็งง เลยถามว่าเรื่องอะไร เจ้าหน้าที่บอกว่า เจ้า ของบ้านโดนฟ้งคดี กู้ยืมเงินแล้วไม่จ่าย ถูกฟ้องบังคับคดี ในจำนวน 150,000 บาท เมื่อตอนปี 2562 ตนถามเจ้าหน้าที่กลับไปว่า แล้วไปยืมเงินใคร เจ้าหน้าที่บอกเจ้าหนี้อยู่ กทม. ยิ่งทำให้ตนงงเข้าไปอีก พร้อมทั้งบอกจะยืมเงิน เป็นแสนได้อย่างไร ขนาด 1000 ยืมใครก็ไม่ได้ เพราะเราฐานะยากจน มีรายได้ แค่วันละ ไม่เกิน 300 บาท จากการรับจ้างทำงาน แล้วจะไปยืมเงินใครได้ ก่อนเจ้าหน้าที่ได้พูดคุยกับลูกสาว
โดยนางบุญทา ด้วงรอด อายุ 54 ปี ลูกสาว ที่ถูกฟ้องกล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือน พย.2566 เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีมาที่บ้านปิดป้ายบ้านขายทอดตลาด ตนเองงง และตกใจ เพราะไม่เคยไปยืมหรือกู้เงินใครได้ถึงขนาดนั้น โดยเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีบอกถ้าจะทราบข้อ มูลข้อให้ไปคัดลอกข้อมูลจากศาล โดยตนเองก็ไม่ทราบว่าศาลตั้งอยู่ที่ไหน ได้ชวนผู้ใหญ่บ้านนายวิโรจน์ เหตุทอง ไปเป็นเพื่อดูเอกสารที่ตน เองถูกโจน์ฟ้อง ซึ่งตนเองก็ไม่เคนรู้จักโจทว่าอยู่ที่ไหน มาทราบอีกทีว่าอยู่ กทม. ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านด้วยความตกใจว่า ต่อไปเราจะไม่มีบ้านอยู่แล้วเหรอ บ้านถูกยึด ทั้งที่เราไม่ได้กู้ยืมเงิน
ตนยอมรับว่าจากการดูเอกสารที่ถูกยื่นฟ้องยืน ยัน ลายมือชื่อไม่ตรงกับตน อายุ ก็ไม่ตรง ในสัญญาเงินกู้ก็มีการแก้ตัวเลข โดยเขียนให้ดูและเอาเอกสารที่เคยลงลายมือชื่อไว้ และการพิจารณาคดีตนเองก็ไม่เคยรับหมายศาลแม่แต่ครั้งเดียวก่อนหน้า
นางบุญทา ผู้ถูกฟ้องกล่าวทั้งน้ำตาขณะที่จะสู้คดีก็ยังไม่มีเงินจ้างทนายให้ช่วยรื้อคดีใหม่ให้ โดยทนายขอ 10,000 บาทเพื่อรื้อคดีให้ แต่ตนพยายามหาเงินมาเกือบ 3 เดือนยังไม่ได้เงินก้อนดังกล่าวให้ทนาย จนไม่รู้จะพึ่งใคร จึงเข้าร้องขอความช่วยเหลือ จากพี่ไสว รุยันต์ ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดพัทลุง ดังกล่าว
ด้านนายวิโรจน์ เหตุทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 15 ต.โคกม่วง อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง กล่าวว่าครอบ ครัวนางบุญทา เป็นครอบครัวที่ยากจน ทำงานหาเช้ากินค่ำ รับจ้างทั่วไป ได้เงินวันละ 200-300 ต่อวัน เท่านั้น เป็นครอบครัวที่น่าสงสาร โดยตนสอบถามเจ้าตัวแล้ว พบว่าทางนางบุญทา บอกว่าไม่ได้ยืมเงินก้อนดังกล่าว และจากการตรวจสอบหลักฐานที่ถูกฟ้องพบว่า มีข้อพิรุจหลายอย่าง ทั้งชื่อ ทั้งอายุ ทั้งบ้านเลขที่ไม่มี ชื่อก็ไม่ตรงกัน
สำหรับการฟ้องดังกล่าวฟ้องผ่านระบบอิแลคทรอนิค ในสัญญากู้ยืมเงิน นางบุญทา ได้กู้ยืมเงิน 3 ครั้ง จากนาวสาวเอ(นามสมมุติ) ครั้งแรก 60,000 บาท ครั้งที่สอง 60,000 บาท และ ครั้งที่ 30,000 รวมเป็นเงิน150,000 บาท โดยยอดเงินกู้ผ่านบัตรเครดิต มอบหมายให้ นายบี(นามสมมุติ)เป็นผู้รับมอบอำนาจฟ้อง คดีเพ่ง หมาย เลขดำที่ ผบ. E330 /2563 โจทก์อ้างศาล หนัง สือเอกสารเงินกู้ หมายเลข จ.2 จ.3 จ.4 แต่ไม่มีเอกสารกู้เงินหมายเลข จ.1 จึงทำให้นางบุญทายิ่งสงสัยโดยที่ไม่รู้จัก ตนเองไม่รู้จักบัตรเครดิต
ขณะที่สื้อมวลชนในจังหวัดพัทลุงจำนวนหนึ่ง ได้ให้นายไสว รุยันต์ ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดพัทลุง ได้ติดต่อทนายพัช ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือทนายปากแดง หลังจากนางบุญทา ผู้ถูกฟ้อง ร้องให้ช่วยคดี ล่าสุดทนายพัชได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พร้อมจะเดินทางมาช่วยคดี ในวันพรุ่งนี้ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 67 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยทนายพัชบอกว่า เบื้องต้นเตรียมตรวจสอบว่าฟ้องผิดคน ดำเนินคดีผิดคนหรือยึดทรัพย์ผิดคนหรือไม่ หากเป็นความประมาณเลินเล่อของทนายความที่ไม่ตรวจสอบให้ก่อนฟ้องว่าลูกหนี้ของตนหรือไม่ก็จะดำเนินคดีกับทนายผู้นั้นและเรียกค่าเสียหายให้กับผู้ถูกฟ้อง และ ดำเนินคดีมรรยาททนายด้วย.
Discussion about this post