เมื่อวันที่ 2 เม.ย.67 ที่ศาลปกครองระยอง ต.เนินพระ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง นายอัมรินทร์ สายจันทร์ ทนายความมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยตัวแทนชาวบ้านในนาม ‘สมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน’ ที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างท่าเทียบเรือบ้านโพธิ์ และโกดังสินค้า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อวันที่ 29 ต.ค.56 โดยมีผู้ถูกฟ้องคดีรวม 16 คน ซึ่งในวันนี้ศาลปกครองสูงสุดได้นัดตัดสินพิพากษา
นายอัมรินทร์ สายจันทร์ ทนายความมูลนิธินิติ ธรรมสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า วันนี้มาฟังคำตัดสินกรณีชาวฟ้องศาลปกครองสูงสุด ให้เพิกถอนใบอนุญาตสร้างท่าเทียบเรือบ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ที่ออกโยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ไม่ได้มีการทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อน ซึ่งในวันนี้ หลังคดีผ่านมาร่วม 11 ปี ศาลปกครองสูง สุดก็ได้พิพากษาเห็นว่า ใบอนุญาตท่าเทียบเรือดังกล่าวออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอยู่ในข่ายที่ต้องทำ EIA ก่อน เนื่องจากเป็นท่าเทียบเรือที่ต้องรองเรือขนาดเรือตั้งแต่ 500 ตันกรอสขึ้นไป
ในส่วนของโกดังโรงงาน ร้องว่าเป็นอาคารริมน้ำ ต้องทำประเมินผลกระทบเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ศาลเห็นว่า ใบอนุญาตออกเห็นชอบแล้ว ไม่ได้เป็นอาคารที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ซึ่งคดีนี้ก็เป็น 1 ในคดี บรรทัดฐานสำคัญที่มีการวินิจฉัยว่า โครงการใดบ้างที่ต้องทำ EIA บ้าง และเป็นการสะท้อนถึงความสำคัญของเจตนารมย์ที่สำคัญที่กฎหมายได้วางกฎเกณฑ์ไว้ว่า ถ้าเป็นโครงการขนาดใหญ่มันจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศธรรมชาติ ก็จำเป็นต้องมีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อจะได้กำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบใก้รัดกุม ซึ่งคดีนี้ก็ถือว่าสิ้นสุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามท่าเทียบเรือบ้านโพธิ์ ก็ยังมีอีกคดีที่ยังห้องอยู่คือการใช้เขื่อนป้องกันตลิ่งพังเป็นท่าเทียบเรือ กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด จากนี้ไปก็จะมีการนำคำสั่งศาลไปติดตามกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่ามีการตรวจสอบ กำกับดูแล สั่งรื้อถอนท่าเทียบเรือที่มีการสร้างไปแล้วต่อไป
ด้านนางบังอร รัตนโยธิน สมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน ผู้ห้องคดี กล่าวว่า รู้สึกพอใจกับคำตัดสินของศาล ซึ่งชาวบ้านต่อสู้มานาน หลังต้องกระ ทบกับดำรงชีวิต เคยได้ใช้น้ำสะอาด ปลอดภัย สัตว์น้ำก็อุดมสมบูรณ์ก่อนหน้าจะมีท่าเรือ ซึ่งหลังศาบตัดสินแล้วทำให้มีกำลังใจขึ้นที่จะดูแลทรัพยากรของบ้านเราให้นานอยู่ชั่วลูกชั่วหลานต่อไป.
Discussion about this post