ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขต 12 และคณะ กธจ. มหาสารคาม ลงพื้นที่สอดส่องโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและการกักเก็บ คลองผันน้ำแก่งเลิงจาน มหาสารคาม

เมื่อเวลา 09.00 น. ของ วันที่ 1 พ.ค. 2567 นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขต 12 และคณะ ร่วมกับคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมหาสารคาม(ก.ธ.จ.มหาสารคาม) ลงพื้นที่สอดส่องโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดมหาสารคาม และกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2567 โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและการกักเก็บ คลองผันน้ำแก่งเลิงจาน ตำบลแก่งเลิงจาน อำเภอเมืองมหาสารคาม ขนาดปริมาณดินขุดไม่น้อยกว่า 1000,000 ลูกบาศก์เมตร งบประมาณ 9,190,000 บาท โดยมี คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมหาสารคาม และที่ปรึกษา โดยมี ผู้แทนจากโครงการชลประทาน มหาสารคาม ร่วมลงพื้นที่ และชี้แจ้งการดำเนินงานตามแผนการดำเนินงานโครงการ
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขต 12 กล่าวว่า เป็นโอกาสดีที่ได้เดินทางมาตรวจราชการที่จังหวัดมหาสารคาม โดยในช่วงเช้าวันนี้ได้ลงมาดูโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและการกักเก็บ คลองผันน้ำแก่งเลิงจาน ซึ่งข้อเสนอเรื่องนี้มาจากทางคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมหาสารคาม (ก.ธ.จ.มหาสารคาม) เพื่อให้เห็นให้ประจักษ์ว่าเมื่อได้รับงบประมาณ มีโครงการฯ และแผนการดำเนินงานมาแล้วจะทำอย่างไร จุดประสงค์สำคัญสุดคือการดูแลไม่ให้มีการเกิดน้ำท่วมขัง ซึ่งที่ผ่านมาคลองผันน้ำจุดนี้ได้ช่วยดูแลเกี่ยวกับการจัดสรรน้ำ การป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง แต่ด้วยอายุของการใช้งานต้องมีการซ่อมแซมให้ดียิ่งขึ้นแข็งแรงยิ่งขึ้น จริงๆแล้วเป้าหมายของโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและการกักเก็บ ต้องมีความยาว 4.7 กิโลเมตร ตลอดสาย แต่ด้วยข้อจำกัดของงบประมาณ ทางกรมชลประทานจึงได้ของบประมาณจากจังหวัดมหาสารคาม ปีงบประมาณ 2567 ในการดำเนินงานส่วนหนึ่งก่อน คือ ความยาว 1.2 กิโลเมตร การลงพื้นที่วันนี้ก็เป็นข้อสังเกตกลับไปยังกรมชลประทาน ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ประการสำคัญประการแรก คือต้องดูแลให้การจัดซื้อจัดจ้างดำเนินการได้ในปีงบประมาณนี้ เพื่อประโยชน์จะได้เกิดขึ้นจากงบประมาณที่ได้รับ ประการที่ 2 คือ หากได้ผู้รับเหมาแล้วการดำเนินงานต้องมีคุณภาพ ประการที่ 3 คือ เรื่องการดูแลเรื่องการขนดินเข้าออกจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไข สำคัญที่สุดคือเรื่องการได้ดินมาจะต้องเป็นดินที่ได้มาจากพื้นที่ที่ถูกต้อง ไม่ใช่เป็นดินที่มาจากที่สาธารณประโยชน์ และประการสุดท้าย คือ การสร้างความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ว่าจะได้ประโยชน์ร่วมกันอย่างไร
ทีมข่าว//มหาสารคาม