
จากผืนดินหินปูนที่ถูกมองข้าม สู่ศูนย์กลาง “ซิ่นตีนจก” อันล้ำค่า… “ศูนย์หม่อนไหมฯ สระบุรี” พิสูจน์สายพระเนตรอันยาวไกล ที่ทรง “ค้นพบ” ภูมิปัญญา และ “คืนศักดิ์ศรี” ให้แม่บ้านในชนบท
ภาพจำของ “สระบุรี” ถูกฉาบทับด้วยฝุ่นควันจากโรงงานปูนซีเมนต์, ความแข็งแกร่งของค่ายทหาร หรือความเร่งรีบของเมืองผ่านสู่ภาคอีสาน… แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า ท่ามกลางภาพลักษณ์ที่แข็งกระด้างนั้น ยังมี “มรดกที่ยังมีชีวิต” อันอ่อนช้อย งดงาม และทรงพลัง กำลังถูกถักทออยู่เงียบๆ
นี่คือเรื่องราวของ “ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ สระบุรี” โครงการอันเนื่องมาจากสายพระเนตรอันยาวไกลของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ไม่ได้เป็นเพียงการ “สร้างอาชีพ” แต่คือการ “ชุบชีวิต” ภูมิปัญญา และก่อให้เกิด “การปฏิวัติเงียบ” ที่คืนศักดิ์ศรีให้สตรีในชนบท
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เจาะลึก และพูดคุยกับ ผู้อำนวยการศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ สระบุรี เพื่อถอดรหัสสายธารแห่งพระเมตตาในครั้งนี้
“ประกายไฟ” บนผืนผ้าที่ถูกลืม
จุดเริ่มต้นทั้งหมดมาจาก “การมองเห็น” ของพระองค์ท่าน… ในดินแดนที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นแหล่งกำเนิดของเส้นไหม
ผู้อำนวยการศูนย์ฯ ได้ให้ทัศนะในประเด็นนี้ไว้อย่างชัดเจน
“เป็นคำถามที่สำคัญมากค่ะ… จริงอยู่ที่ภาพลักษณ์ของสระบุรีคือเมืองอุตสาหกรรม แต่จุดเริ่มต้นของศูนย์ฯ แห่งนี้ มาจากสายพระเนตรอันยาวไกลของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงโดยแท้ค่ะ
ย้อนไปเมื่อครั้งที่พระองค์โดยเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่จังหวัดสระบุรี พระองค์ทอดพระเนตรเห็นว่าเกษตรกรจำนวนมากยังประสบความยากลำบาก โดยเฉพาะหลังหมดฤดูทำนา หรือในพื้นที่ที่ทำการเกษตรได้ผลไม่เต็มที่ พวกเขาขาดรายได้เสริมที่จะมาจุนเจือครอบครัว
ที่สำคัญที่สุด… พระองค์ทรง “ค้นพบ” ว่า ที่สระบุรี โดยเฉพาะในพื้นที่อย่าง อำเภอเสาไห้ มีกลุ่มชาติพันธุ์ “ไทยวน” (ไท-ยวน) ที่มีมรดกการทอผ้า “ซิ่นตีนจก” ที่งดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างยิ่ง แต่ภูมิัญญานี้กำลังจะสูญหายไปตามกาลเวลา เพราะขาดการสืบสานและไม่สามารถสร้างรายได้ได้จริง
ดังนั้น พระราชปณิธานของพระองค์จึงชัดเจนและลึกซึ้งอย่างยิ่งค่ะ… นั่นคือ ‘การฟื้นคืนชีพภูมิปัญญา’ ควบคู่ไปกับ ‘การสร้างอาชีพที่ยั่งยืน’ พระองค์ทรงต้องการเปลี่ยน ‘เวลาว่าง’ ของแม่บ้าน ให้กลายเป็น ‘รายได้’ ที่มั่นคง ทรงต้องการอนุรักษ์มรดกผ้าทอไทยวนไม่ให้สูญหาย และในขณะเดียวกันก็ช่วยแก้ปัญหาความยากจนของราษฎรไปพร้อมกัน… นี่คือที่มาของศูนย์หม่อนไหมฯ สระบุรีค่ะ”
“วิศวกรรมเกษตร” แก้โจทย์ดินหินปูน
เมื่อมีพระราชปณิธานแล้ว ภารกิจแรกที่ต้องเผชิญคือ “ความท้าทาย” ที่ใหญ่ที่สุด… ดินสระบุรีส่วนใหญ่เป็นดินปนหินปูน ไม่เหมาะกับการเกษตร
ผู้อำนวยการศูนย์ฯ อธิบายถึงการแก้ “โจทย์ใหญ่” นี้ว่า
“ต้องยอมรับนะคะว่านี่คือ ‘โจทย์ใหญ่’ และเป็นความท้าทายเฉพาะของพื้นที่เรา… ดินสระบุรีส่วนใหญ่เป็นดินปนหินปูน มีความเป็นด่างสูง ไม่ได้อุดมสมบูรณ์เหมือนภาคอีสาน
ภารกิจแรกของเราจึงไม่ใช่การแจกพันธุ์หม่อน แต่คือการ ‘วิจัยและพัฒนา’ ค่ะ… ศูนย์ฯ ของเราทำหน้าที่เป็นสถานีทดลอง คัดเลือก ‘พันธุ์หม่อน’ ที่มีความทนทานต่อสภาพดินและอากาศแห้งแล้งของสระบุรีโดยเฉพาะ ซึ่งเราพบว่ามีหม่อนบางสายพันธุ์ เช่น หม่อนพันธุ์สกลนคร ที่สามารถปรับตัวและให้ผลผลิตที่ดีได้
จากนั้น คือกระบวนการ ‘ถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้’ ที่เข้มข้นค่ะ เราไม่ได้ให้เกษตรกรไปลองผิดลองถูกเอง แต่เราส่งนักวิชาการเกษตรของศูนย์ฯ ลงพื้นที่ไป ‘ประกบ’ สอนเกษตรกรตั้งแต่การเตรียมแปลง, การปรับปรุงบำรุงดินโดยใช้อินทรียวัตถุ, การจัดการระบบน้ำหยด, ไปจนถึงเทคนิคการอนุบาลหนอนไหมในสภาพอากาศแบบสระบุรี…
เราพิสูจน์ให้เกษตรกรเห็นว่า แม้ในผืนดินที่มีข้อจำกัด หากเราใช้ ‘องค์ความรู้’ และ ‘การจัดการ’ ที่ถูกต้อง เราก็สามารถสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพได้… นี่คือการทำงานเชิงรุกของเราค่ะ”
ผลลัพธ์ที่ได้นั้น สะท้อนผ่านเสียงของ ชาวบ้านในพื้นที่ เกษตรกรในโครงการ “เมื่อก่อนเราปลูกหม่อนตามมีตามเกิด เลี้ยงไหมแบบโบราณ มันก็ตายบ้าง ได้เส้นไหมไม่สวยบ้าง พอ ‘สมเด็จฯ’ ท่านให้ศูนย์ฯ เข้ามา เราเหมือนได้โรงเรียนใหม่ เขาสอนเราทุกอย่าง… จากที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นไปได้”
“โรงเรียนของแม่” ชุบชีวิตมรดกไทยวน
เมื่อมี “เส้นไหม” คุณภาพ ภารกิจต่อมาคือการ “สร้างคน” และ “ฟื้นฟูมรดก” ที่เกือบจะเลือนหาย
ผู้อำนวยการศูนย์ฯ ชี้ว่า นี่คือ “หัวใจหลัก” ของการทำงาน
“ภารกิจนี้ถือเป็น ‘หัวใจหลัก’ ของศูนย์หม่อนไหมฯ สระบุรีเลยค่ะ… การฟื้นฟูผ้าทอไทยวน เริ่มต้นจากการที่พระองค์ท่านทรง ‘เห็นคุณค่า’ และมีพระราชเสาวนีย์ให้อนุรักษ์ไว้
กระบวนการของเรา เริ่มจาก ‘การสืบค้นและอนุรักษ์’ เราส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ อ.เสาไห้ ไปพบปะพูดคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ ‘แกะลาย’ ผ้าซิ่นตีนจกโบราณที่พวกท่านเก็บไว้ก้นหีบ… ลายอย่าง ‘ลายดอกพิกุล’, ‘ลายนกคู่’, ‘ลายปราสาท’ ซึ่งในตอนนั้นแทบไม่มีคนทอเป็นแล้ว
จากนั้นคือ ‘การรวบรวมครูช่างและถ่ายทอด’ เราค้นหา ‘ครูช่าง’ ที่ยังหลงเหลืออยู่ เชิญท่านมาเป็นวิทยากร ถ่ายทอดเทคนิค ‘การจก’ (ซึ่งเป็นเทคนิคที่ยากและละเอียดอ่อนมาก) ให้กับแม่บ้านและคนรุ่นใหม่ที่สนใจ พร้อมทั้งสนับสนุนการ ‘จัดตั้งกลุ่มทอผ้า’ ขึ้นมาอย่างเป็นระบบ
ปัจจุบัน… ดิฉันภูมิใจที่จะเรียนว่า มรดกนี้ ‘ไม่สูญหาย’ แล้วค่ะ เรามีช่างทอฝีมือดีที่สืบยอดเทคนิคดั้งเดิมได้อย่างงดงาม ‘ผ้าซิ่นตีนจกไทยวนสระบุรี’ ได้รับการยอมรับในวงกว้าง กลายเป็นที่ต้องการของนักสะสมผ้าและผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะ… จากที่เคยทอไว้ใช้เองในอดีต ตอนนี้ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงและรายได้หลักให้กับชุมชนอย่างแท้จริงค่ะ”
คำกล่าวนี้สอดคล้องกับเสียงของช่างทอผ้าไทยวน อ.เสาไห้ “ลาย ‘ตีนจก’ ของเรามันยาก คนรุ่นใหม่ไม่มีใครอยากทำ… พอ ‘สมเด็จฯ’ ท่านเข้ามาชุบชีวิต ท่านบอกว่านี่แหละคือของดี ท่านให้ครูมาสอน ให้เราทอให้ละเอียด แล้วท่านก็รับซื้อ… ลายผ้าของย่าของยาย ที่คิดว่าตายไปแล้ว มันเลยฟื้นขึ้นมาใหม่”
“การปฏิวัติเงียบ” คืนศักดิ์ศรีสู่สตรี
ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโครงการนี้ อาจไม่ใช่ผืนผ้าที่งดงาม แต่คือ “การเปลี่ยนแปลงทางสังคม” ที่เกิดขึ้นในครัวเรือน
ผู้อำนวยการศูนย์ฯ กล่าวถึงประเด็นนี้ด้วยความภาคภูมิใจ
“ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ดิฉันขอพูดถึง ‘คุณภาพชีวิต’ และ ‘ศักดิ์ศรี’ ค่ะ
ในอดีต แม่บ้านในชนบท พอหมดฤดูทำนา ก็แทบไม่มีรายได้ ต้องพึ่งพารายได้หลักจากสามี หรือรอเงินจากลูกที่ไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม… แต่พอโครงการนี้เข้าไป…
- เกิดรายได้ในครัวเรือน พวกเขาสามารถ ‘ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม’ และ ‘ทอผ้า’ ได้ที่ใต้ถุนบ้านของตัวเอง… จากที่เคยเป็น ‘รายได้เสริม’ ตอนนี้ในหลายครอบครัว นี่คือ ‘รายได้หลัก’ ที่มั่นคงกว่าการทำไร่ที่ต้องเสี่ยงกับดินฟ้าอากาศ
สถาบันครอบครัวเข้มแข็ง แม่ได้อยู่กับลูก ได้ดูแลบ้าน ไม่ต้องทิ้งถิ่นฐานไปหางานไกล
การเสริมพลังสตรี (Empowerment) นี่คือสิ่งที่ชัดเจนที่สุดค่ะ… เมื่อแม่บ้านมี ‘รายได้’ เป็นของตัวเอง เขามี ‘ศักดิ์ศรี’ (Dignity) เขามีบทบาท มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องในครอบครัวมากขึ้น
มีเกษตรกรท่านหนึ่งเล่าให้ดิฉันฟังว่า เงินก้อนแรกที่เขาได้จากการขายผ้าไหม เขาเอาไปซื้อชุดนักเรียนให้ลูก… นั่นคือความภาคภูมิใจที่เขาไม่ต้องแบมือขอเงินสามี… นี่คือการ ‘สร้างคน’ และ ‘สร้างครอบครัว’ ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าแค่การสร้างรายได้ค่ะ”
เสียงจากชาวบ้านคือหลักฐานที่ดีที่สุด แม่ต่วน เกษตรกรในโครงการฯ เล่าว่า “เมื่อก่อนทำไร่ข้าวโพด ขาดทุนบ้าง… ต้องรอผัวหาเงิน พอมาเข้าศูนย์ฯ เราทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน เรามีเงิน ‘ของเราเอง’ ทุกเดือน… เงินก้อนนี้แหละที่ส่งลูกจนเรียนจบปริญญา”
อนาคต… “ทางเลือก” ปะทะ “โรงงาน”
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความท้าทายที่สำคัญ… สระบุรีคือเมืองอุตสาหกรรม “โรงงาน” คือคู่แข่งสำคัญที่ดึงแรงงานคนรุ่นใหม่
ผู้อำนวยการศูนย์ฯ พยักหน้ายอมรับ และอธิบายถึงกลยุทธ์ในการสืบสานพระราชปณิธานนี้ต่อไป
นี่คือความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของเรา… สระบุรีเป็นเมืองอุตสาหกรรม โรงงานคือคู่แข่งสำคัญในการดึงแรงงานคนรุ่นใหม่ที่ต้องการรายได้ที่รวดเร็ว
กลยุทธ์ของเราในการสืบสานพระราชปณิธานนี้ คือ
ทำให้อาชีพนี้อยู่ได้จริง เราต้องพิสูจน์ให้คนรุ่นใหม่เห็นว่า การทอผ้าหรือการเลี้ยงไหม ไม่ใช่งานของคนแก่… แต่เป็น ‘อาชีพ’ ที่สร้างรายได้สูงและมีเกียรติ เราเน้นการตลาดที่ตรงกลุ่ม (Niche Market) ส่งเสริมการผลิตงาน ‘พรีเมียม’ ทำให้ผ้าทอมีราคาสูงสมกับฝีมือและเวลาที่ทุ่มเท
การออกแบบและนวัตกรรม เราทำงานร่วมกับนักออกแบบรุ่นใหม่ (Young Designers) เพื่อนำลวดลายโบราณมาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์สมัยใหม่… เช่น กระเป๋า, ผ้าพันคอ, หรือของแต่งบ้าน ทำให้ผ้าไหม ‘เท่’ และเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้
การตลาดดิจิทัล เราฝึกให้กลุ่มเกษตรกรใช้โซเชียลมีเดียในการ ‘เล่าเรื่อง’ (Storytelling) เบื้องหลังผืนผ้า และใช้เป็นช่องทางการขายตรงถึงผู้บริโภค
เป้าหมายของเราไม่ใช่การ ‘ดึง’ ทุกคนออกจากโรงงานค่ะ” ผอ. สรุป “แต่คือการ ‘สร้างทางเลือก’ ให้กับคนรุ่นใหม่ที่รักในศิลปะ ให้พวกเขาสามารถกลับมาทำงานที่บ้านเกิด สืบสานมรดกของบรรพบุรุษ และยังคงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้ นี่คือการสืบสานพระราชปณิธานที่ยั่งยืนที่สุดค่ะ”
จากผืนดินที่ถูกมองข้าม สู่เส้นไหมที่ถักทออนาคต นี่คือบทพิสูจน์ว่า มรดกของสมเด็จพระพันปีหลวงที่สระบุรี ไม่ใช่ “อนุสาวรีย์” ที่ตั้งตระหง่าน แต่คือ “เสียงกี่กระตุก” ที่ยังคงดังอยู่, คือ “รอยยิ้ม” ของแม่บ้านที่นับเงินค่าผ้าด้วยความภูมิใจ, และคือ “อนาคต” ของเด็กๆ ที่ได้เรียนหนังสือจากน้ำพักน้ำแรงของแม่ผู้เป็นช่างทอ
นี่คือ “สายธารแห่งพระเมตตา” ที่ยังคงไหลรินอยู่ในหัวใจชาวสระบุรีอย่างแท้จริง
หิรัญยวัต อธิวัฒน์เดชากร / สระบุรี 0815122131




































