
วันนี้ 9 พ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายยุทธพงค์ ดำศรีสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญกับคดีการลักลอบขุดดินร่อนแร่ทองคำบนยอดภูเขาซึ่งเป็นผืนป่าต้นน้ำลุ่มน้ำชั้น 1A ท้องที่บ้านปิล๊อกคี่ หมู่ 4 ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ เป็นอย่างมาก จึงมีนโยบายเน้นย้ำให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้บุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทางอุทยานจึงได้เพิ่มความเข้มข้นในการลาดตระเวนเพื่อพิทักษ์ผืนป่า อย่างเข้มข้น
ที่ผ่านมาภายใต้การอำนวยการของนายชาคริต ตันพิรุฬห์ นายอำเภอทองผาภูมิ พ.อ.พรรณศักย์ เพรียวพานิช ผบ.ร.29/ผบ.ฉก.ลาดหญ้า กองกำลังสุรสีห์ และทีมเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ อุทยานแห่งชาติเขาแหลม เจ้าหน้าที่ ตชด.135 และเจ้าหน้าที่ ตำรวจสภ.ปิล๊อก สามารถจับกุมผู้กระทำผิดไปแล้วถึง 43 คน ส่วนใหญ่ผู้กระทำผิดเป็นชาวพม่าและกะเหรี่ยง ที่ข้ามชายแดนมาจากประเทศพม่า ทั้งสิ้น
โดยอำเภอทองผาภูมิ ได้ประกาศบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อผู้กระทำผิด รวมถึงผู้รับซื้ออย่างเคร่งครัด ซึ่งผู้กระทำผิดถูกศาลจังหวัดทองผาภูมิพิพากษาจำคุกและให้ชดใช้ค่าเสียหายให้กับกรมอุทยานฯมาแล้วหลายราย แต่กลุ่มคนเหล่านี้ก็ไม่ได้เกรงกลัวต่อกฎหมายแต่อย่างใด
นายยุทธพงค์ฯ กล่าวว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ได้รับสัญญาณเตือนจากกล้องวงจรปิดที่ติดเอาไว้โดยรอบบริเวณแปลงตรวจยึดเนื้อที่ 13 ไร่เศษ จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดพบมีกลุ่มบุคคล ที่คาดว่าเป็นขบวนการลักลอบขึ้นไปขุดดินร่อนแร่ทองคำเดินขึ้นลงภูเขาทั้งไปและกลับประมาณ 15-20 คน
จากนั้นตนจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ นำโดยนายบัญชา กาญจนพันธ์ พนักงานพิทักษ์ป่าฯ นำกำลังเดินทางไปดักซุ่มเพื่อจับกุมตัวกลุ่มผู้กระทำผิด แต่การเดินทางต้องเวลานานพอสมควรเพราะเจ้าหน้าที่ต้องเดินทางทางทางเรือ จากนั้นขึ้นฝั่งเดินเท้าลัดเลาะไปตามลำห้วย ชายป่า หุบเขา และสันเขาที่สูงชันสลับซับซ้อน ระยะทางไกลกว่า 16 กิโลเมตร
จนกระทั่งเวลาประมาณ 22.30 น.ของคืนวันที่ 7 พ.ย.เจ้าหน้าที่สังเกตเห็นแสงสว่างจากไฟฉายคาดหัวและเสียงพูดคุยของกลุ่มบุคคลดังกล่าวอยู่ที่บริเวณแปลงตรวจยึด 13 ไร่เศษ เจ้าหน้าที่จึงวางแผนเข้าจับกุม ระหว่างเข้าจับกุมปรากฏว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวเห็นเจ้าหน้าที่เสียก่อน จึงอาศัยความมืดและความชำนาญเส้นทาง วิ่งหลบหนีไปตามชายป่าที่เป็นทางลงเขาอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่พยายามไล่ติดตามแต่ก็ไม่ทัน
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงกระจายกำลังกันออกตรวจสอบตามหลุมที่ถูกขุดเจาะหาแร่ทองคำ ปรากฎว่าพบมีคนเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ภายในหลุม เป็นชาย 1 ราย เจ้าหน้าที่จึงเรียกให้ออกมาเพื่อมอบตัว ทราบชื่อต่อมาคือนายโซเอะเกตุ (ไม่มีนามสกุล)ชาวพม่า อายุ 34 ปี พบของกลาง ประกอบด้วยกระสอบบรรจุดินสายแร่ทองคำ หนัก 8 กิโลกรัม รวมถึงมีดดาบ เครื่องกระสุนปืน .22 LR จำนวน 5 นัด โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง และอุปกรณ์ขุดดินและร่อนแร่ทองคำชนิดอื่นๆ รวม 13 รายการ เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดเอาไว้เป็นของกลาง จากนั้นจึงคุมตัวผู้ต้องหามอบสอบปากคำเพิ่มเติมที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ แต่กว่าจะมาถึงต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง
จากการสอบสวนเบื้องต้นนายโซเอะเกตุ ให้การว่า ตนเป็นชาวพม่า เดินข้ามชายแดนเข้ามาฝั่งไทยด้วยการใช้ช่องทางธรรมชาติช่องป่าหมาก-ยาพู เพื่อเข้ามาลักลอบขุดดินหาแร่ทองคำกับเพื่อชาวพม่าด้วยกันรวม 3 คน ขณะเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัวเพื่อนของตน 2 คน กับคนกลุ่มอื่นๆที่ตนไม่รู้จักอาศัยความมืดและความชำนาญเส้นทางวิ่งหลบหนีไปได้ ส่วนตนนั้นตั้งหลักวิ่งหลบหนีไม่ทันจึงเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในหลุม สุดท้ายก็มาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้ในที่สุด
หลังจากผู้ต้องหาให้การยอมรับสารภาพ เจ้าหน้าที่จึงจดทำบันทึกเรื่องราว จากนั้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปิล๊อก ต.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ ดำเนินคดีตามกฎหมาย 6 ข้อกล่าวหา ประกอบด้วย กระทำความผิดฐาน 1.บุกรุกและทำลายป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2482,
2.บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507, 3.บุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 A ในอุทยานแห่งชาติม 4.ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ (ดิน หิน แร่) 5.เข้าไปดำเนินกิจการเพื่อหาประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต, และ 6.มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยผิดกฎหมาย ส่วนคดีเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน พิจารณาดำเนินคดี,
ทั้งนี้นายยุทธพงค์ กล่าวเน้นย้ำว่า พื้นที่ที่กลุ่มบุคคลเข้าไปลักลอบขุดเจาะเอาดินและหินเพื่อนำไปร่อนหาแร่ทองคำ ที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดเอาไว้ 2 แปลงเนื้อที่รวมกันกว่า 27 ไร่นั้น เป็นป่าต้นน้ำลุ่มน้ำชั้น 1A ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศของผืนป่าไทย ห้ามเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้เป็นรูปแบบอื่นอย่างเด็ดขาด และพื้นที่ดังกล่าวจะต้องระงับการอนุญาตทำไม้โดยเด็ดขาด และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบำรุงรักษาป่าธรรมชาติที่มีอยู่ ส่วนบริเวณใดเป็นที่รกร้างว่างเปล่าหรือ เป็นป่าที่เสื่อมโทรมแล้ว ให้ดำเนินการปลูกป่าขึ้นมาทดแทน การบุกรุกและขุดดินหาแร่ทองคำก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล โดยทางอุทยานจะเพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวนและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตามกฎหมายอย่างเต็มที่ โดยไม่มียกเว้น
////////////////////////////////////////////////////////////////////
ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์



































