เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 20 สิงหาคม 2568 ที่สถานีตำรวจภูธรบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 พร้อมด้วย พล.ต.ต. นราเดช ทิพย์รักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 พล.ต.ต. วรชาติ แสนดำ ผู้บังคับการสืบสวนกองกับกำการตำรวจภูธร ภาค 1 พล.ต.ต. วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย รองผู้การ และ ผู้กำกับการตำรวจภูธรบางบ่อ พร้อมด้วยฝ่ายสืบสวน ร่วมกัน แถลงข่าวจับกุม ตัว นาย วีรวัฒน์ หรืออาร์ม ตุ้มแสง อายุ 31 ปี และ นาย อิทธิ์พงษ์ หรือ มด ตุ้มแสง อายุ 28 ปี สองผู้ต้องหาร่วมกัน พร้อมด้วยของกลาง เป็นสร้อยข้อมือทองคำ จำนวน 36 เส้น รวมน้ำหนัก 89 บาท อาวุธปืนแบงค์กันดัดแปลง เสื้อผ้า หมวกกันน็อก ถุงมือ รถจักรยานยนต์ เรือหางยาว ที่ใช้ในการก่อเหตุ มาทำการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน พร้อมชี้แจงแผนประทุษกรรมของผู้ต้องหารายนี้

ด้าน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้เข้าสอบถามผู้ต้องหาด้วยตัวเองถึงแผนประทุษกรรมในการก่อเหตุ โดย นาย วีรวัฒน์ หรือ อาร์ม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าลงมือก่อเหตุจริง สาเหตุที่ตนเองทำลงไปนั้น เพรามีความจำเป็นต้องใช้เงิน เนื่องจากตนเองติดหนี้นอกระบบ จำนวนหลายแสนบาท เป็นหนี้นอกระบบที่ยืมมาลงทุนเปิดอู่ซ่อมรถ และต้องเสียดอกเบี้ยเดือนละไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นบาท จึงคิดวางแผนในการก่อเหตุ โดยใช้เวลากว่าสัปดาห์ในการวางแผน ตั้งแต่การจัดการเสื่อผ้าหมวกกันน็อก การนำรถจักรยานยนต์มาพ่นสีใหม่ การปลอมตัวต่างๆ รวมถึง การวางแผนในการหลบหนี มีการสำรวจ เส้นทางและจุดที่ต้องนำเอารถจักรยานยนต์ไปทิ้งน้ำ โดยมีการชักชวนรุ่นน้องที่เป็นญาติการใช้เรือร่องสำรวจเส้นทางและมาร์คตำแหน่งจุดนัดพบทางเรือ เลือกจุดและเส้นทางทางเรือที่ไม่มีกล้องวงจรปิดและบ้านคนเพื่อยากต่อการติดตามของตำรวจ และให้รุ่นน้อง คือนายมด ขับเรือมาจอดรถรับยังใต้สะพานข้ามคลอง เพื่อหลบหนี กลับบ้านพัก ซึ่งบ้านพักอยู่ห่างจากคลองเพียงร้อยกว่าเมตร หลังจากที่ได้ทองกลับมาถึงบ้าน จึงแบ่งทองซุกซ่อนสองจุด คือในตู้ลำโพง และข้างต้นไม้หลังบ้าน ส่วนที่เลือกร้านทองแห่งนี้ เพราะตนเองเคยเข้ามาซื้อสินค้าภายในห้างและมองว่าร้านทองไม่มีลูกกรงในการป้องกันและง่ายต่อการก่อเหตุ จึงเลือกร้านทองแห่งนี้ ส่วนทองที่หายไป คาดว่าหายในช่วงที่ตนเองขับรถพุ่งลงคลอง และลากรถจากกลางคลองมาซ่อนใกล้ตอมอสะพาน ซึ่งช่วงนั้นทองทั้งหมดใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายและไม่ทันได้รูปซิปปิดปากกระเป๋า คาดว่าจะหล่นในช่วงที่ตนเองนำทองและเสื้อผ้ารวมถึงหมวกกันน็อกยัดใส่กระสอบที่เตรียมมา ซึ่งในระหว่างเส้นทางในคลองที่หลบหนี จะมีช่วงหนึ่งที่ห่างจากจุดทิ้งรถ ตนเองได้ดึงเอาปืนและเสื้อผ้าออกจากกระสอบเพื่อโยนทิ้งน้ำ ซึ่งตอนนั้นสังเกตว่ามีทองเกี่ยวตัวปืนตกออกไปด้วย
ด้าน พล.ต.ท. สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กล่าวว่า สำหรับคดี นี้ ทางด้าน พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญในคดีนี้ เนื่องจากเป็นคดีอุอาจและคนร้ายก่อเหตุโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายอีกทั้งยังใช้อาวุธปืน จึงสั่งการมอบหมายให้ ตนเองในฐานะผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้ติดตามคดีอย่างใกล้ชิด และสั่งการให้ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ควบคุมการทำงานและดูแลการสืบสวนแกะรอยเบาะแสของคนร้ายรายนี้ เนื่องจากเป็นการก่อเหตุโดยใช้แผนประทุษกรรมที่ค่อนข้างซ้ำซ้อน และคนร้ายวางแผนมาอย่างดี ซึ่งแนวทางการสืบสวนของตำรวจฝ่ายสืบสวน ต้องขอชื่นชมความตั้งมั่นตั้งใจในการคลี่คลายคดีนี้ อย่างทุ่มเทและไม่ย่อท้อต่อการไล่ล่าตัวคนร้าย จนสามารถติดตามไปค้นพบรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายนำไปโยนทิ้งลงคลองชวดพร้าว ซึ่งไม่ไกลจากที่เกิดเหตุมากนัก ก่อนจะหลบหนีด้วยวิธีการที่แยบยล ซึ่งฝ่ายสืบสวนไม่ละความพยามและตามแกะรอยคนร้ายจนกระทั่งทราบว่า หลังจากนำรถจักรยานยนต์ไปโยนทิ้งน้ำแล้ว ยังมีการสับเปลี่ยนเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย เพื่อหวังตบตาตำรวจ กระทั่งฝ่ายสืบสวนพบเบาะแสผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าอาจจะหลบหนีต่อด้วยทางเรือ กระทั่งไล่ข้อมูลเบาะแสของคนร้ายจนทราบว่ามีการหลบหนีต่อทางเรือจริงและกบดานอยู่ที่บ้านพักย่านบ้านระกาศ จึงรวบรวมพยานหลักฐานอนุมัติหมายค้นและหมายจับจากศาลจังหวัดสมุทรปราการ ไปติดตามจับกุมตัว นายอาร์ม ได้ที่บ้านพัก โดยที่เจ้าตัวคาดไม่ถึง กระทั่งจนมุมด้วยหลักฐานจึงยอมรับสารภาพและเผยตำแหน่งที่ซ่อนทองที่เหลือ
ในส่วนทองที่ยังหาไม่พบนั้น จากคำให้การของผู้ต้องหารายนี้ บอกว่าก่อนหน้าจะหล่นในช่วงที่หลบหนี นำรถจักรยานยนต์ไปทิ้งคลอง รวมน้ำหนักที่ยังหาทองไม่พบ จำนวนกว่า 33 บาท ซึ่งตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การตรงนี้จากตัวผู้ต้องหา และอยู่ระหว่างขยายผลเพิ่มเติม
พล.ต.ท. สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ยังกล่าวต่ออีกว่า จากคดีนี้ จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าผู้ต้องหาจะวางแผนและเตรียมการมาอย่างดี โดยใช้เรือหางยาวในการหลบหนี แต่ปัจจุบัน ตำรวจภูธรภาคหนึ่ง โดยเฉพาะตำรวจจังหวัดสมุทรปราการ มีฝีมือในการคลี่คลายคดีค่อนข้างเร็ว และแม่นยำ ซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยงานสืบสวนทำให้การทำงานของตำรวจสามารถติดตามจับกุมคนร้ายที่มาก่อเหตุได้ในที่สุด จึงอยากฝากเตือนผู้ที่อาจจะคิดก่อเหตุในทำนองนี้ไม่ส่าจะเป็นร้านค้าทองหรือร้านสะดวกซื้อ ไม่ส่าจะวางแผนหรือเตรียมการมาอย่างไร ตำรวจก็สามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุได้ทุกรายเช่นกัน
ด้าน พล.ต.ต. วิชิต บุญชินวุฒิกุล เปิดเผยว่า สำหรับคดีนี้ ต้องขอบคุณเบาะแสจากประชาชนพลเมืองดีท่านหนึ่ง ที่มีกล้องหน้ารถสามารถบันทึกภาพรถของคนร้ายในระหว่างทางที่หลบหนีได้จนฝ่ายสืบสวนติดตามไปพบจุดต้องสงสัยที่พบขอบปูนทางเท้าใกล้กับจุดที่พบรถจักรยานยนต์นั้นมีร่องรอยการขูดของสีรถ ทำหตำรวจมั่นใจว่ารถถูกนำมาโยนทิ้งแห่งนี้ กระทั่งลงค้นหาในคลองก็พบรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุจริง ส่วนการหลบหนีทางเรือ ถือเป็นสมมุติฐานที่ตำรวจใช้ประสบการณ์ในการทำงาน จนสืบสวนเชิงลึกกระทั่งทราบตัวผู้ต้องสงสัยจนสามารถขอหมายค้นและจับกุมผู้ต้องหาได้ในที่สุด คดีนี้ชุดสืบสวนใช้เวลาพอสมควรเนื่องจากผู้ก่อเหตุวางแผนมาอย่างดี แต่สุดท้ายก็ไม่รอดในการจับกุม
ขณะที่ภายหลังจากที่มีการแถลงข่าวเสร็จ ตำรวจได้คุมตัวผู้ต้องหาไปชี้จุดการก่อเหตุ ในร้านทอง และเส้นทางหลบหนีรวมถึงจุดที่ทิ้งรถจักรยานยนต์ ของคนร้าย เพื่อประกอบสำนวนดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ต้องหารายนี้ โดยในเบื้องต้น แจ้งข้อหา “ร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธ, โดยขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย,โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม หรือร่วมกันรับของโจร และมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร”
*** ก๊วก สมุทรปราการ 0876122558 // 0628122158 *** บัณฑิต ชวาลา ***
*** นางสาวกริชแก้ว ศิริมงคล 0645910124 *** ผู้ช่วย ***