จากกรณีมหาเถรสมาคม มีคำสั่งแต่งตั้งพระสังฆาธิการ และถอดถอนเจ้าคณะจังหวัด 3 รูป โดยปรากฏทางสื่อโซเชียล เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพระเทพสารเมธี เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) ผลดังกล่าวทำให้คณะสงฆ์จังหวัดกาฬสินธุ์(ธ) และญาติธรรมเคลื่อนไหวมีมติคัดค้านทันทีเพราะมองว่าไม่เป็นธรรม และมีการล่ารายชื่อหนึ่งแสนถวายฎีกาต่อในหลวงรัชกาลที่ 10 และส่งหนังสือถึงคณะกรรมาธิการศาสนาและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร,คณะกรรมาธิการกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ตรวจสอบความเป็นธรรม หลังคำชี้แจงจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติออก แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2564 ที่วัดประชานิยม เขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์ มีพุทธศาสนิกชนชาว จ.กาฬสินธุ์ และจังหวัดใกล้เคียงเดินทางมาทำบุญ และร่วมปฏิบัติธรรมกันตามปกติ โดยวันนี้ช่วงเช้ามีรายงานว่า “เจ้าคุณบัวศรี” หรือ พระเทพสารเมธีได้ลงหอฉันปฏิบัติกิจตามปกติ แต่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา ดังคำปรารภที่ปรากฏในไลน์ของคณะสงฆ์สายวัดป่ากาฬสินธุ์และศิษยานุศิษย์ วันที่ 11 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ระบุว่างเจ้าคุณบัวศรี ได้ปรารภและส่งไลน์เพื่อขอบใจคณะสงฆ์ โดยมีเนื้อหาใจความว่า “ขอขอบใจ ขอบคุณในน้ำใสใจจริงของคณะสงฆ์ ศิษยานุศิษย์ทุกท่านที่มอบให้ และแสดงออกให้ประจักษ์ ผมอยากจะออกจากตำแหน่งนี้นานแล้วแต่ไม่สมหวัง มาบัดนี้ได้พ้นแล้ว ถึงแม้จะไม่สวยแต่ก็ได้ออกตามคำสั่งขององค์กรปกครองสูงสุด จะไม่ขออุทธรณ์ใดๆทั้งสิ้น ยินดีรับ ผมจะถูกหรือผิดนั้น ขอให้ทุกท่านได้พิจารณา ผมทำงานมานานแล้วเป็นเวลา 35 ปี ก็สมควรที่จะออก ไม่ออกปีนี้ปีต่อไปก็จะได้ออกอยู่ดี “เพราะฉะนั้นเรื่องของผมให้เป็นอันยุติเสีย”
อย่างไรก็ตามแม้เจ้าคุณบัวศรีจะมีคำปรารภออกมา แต่บรรดาศิษยานุศิษย์และประชาชนยังคงไม่หยุดเคลื่อนไหว เนื่องจากคำชี้แจงของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา กรณีถอดถอนเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธรรมยุต)นั้น เป็นคำตอบที่ไม่ชัดเจน สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้กับประชาชนอย่างมาก ว่าสาเหตุของการถอดถอนเกิดจากอะไร โดยประชาชนยังคงรอคำตอบที่ชัดเจนจากพศ. และยังคงร่วมลงชื่อในระบบออนไลน์ต่อเนื่อง เพื่อคัดค้านมติของมส.ล่าสุดมีรายงานว่ายอดผู้ลงชื่อมากกว่า 2 แสนคนแล้ว และพร้อมที่จะเดินหน้าขอความเป็นธรรมให้กับเจ้าคุณบัวศรีถึงที่สุด ทั้งการทำหนังสือถึงคณะกรรมาธิการศาสนาและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ,คณะกรรมาธิการกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร และการยื่นถวายฎีกา
ขณะที่ ดร.นิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ได้โทรศัพท์มาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า จากการที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ว่า มส เป็นผู้ออกมติปลดเจ้าคณะจังหวัดทั้ง 3 รูปนั้น ไม่จริง เพราะ มส บอกว่า ไม่รู้เรื่อง เป็นเรื่องที่สำนักพุทธฯพิมพ์ไปให้เลขาพระสังฆราชอ่าน ซึ่งสมเด็จชินก็ยืนยันเอง แม้แต่สมเด็จพระพุฒาจารย์ ก็พูดตรงกัน นายกไม่ได้สนใจปัญหาพระศาสนา มัวแต่ไปเดินสายหาเสียงเตรียมเลือกตั้ง จึงไม่รู้เรื่อง ทั้งที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน แทนที่นายกจะไปตามหาไอ้โม่งที่แอบเอาเอกสารให้เจ้าหน้าที่พิมพ์ใส่วาระการประชุมกลับปัดความรับผิดชอบ โยนปัญหาไปให้ มส
ดร.นิยม กล่าวต่อว่า ในฐานะที่ตนเคยผ่านการบวชเรียนมา เห็นนายกของประเทศไทยพูดเช่นนี้ ยิ่งเศร้าใจ ห่วงไยพระเณรรุ่นหลังจะอยู่กันอย่างไร ขนาดคนเป็นนายกยังไม่เข้าใจกฎหมายพระสงฆ์พยายามบิดเบือนกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2541) แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2563) ข้อ 5/1 (2) ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างบรรทัดฐานขึ้นมาใหม่ให้ข้าราชการยืมมือ มส ปลดพระสังฆาธิการได้ โดยไม่ต้องมีการสอบสวน หากเป็นเช่นนั้น ก็จะเป็นการตีความกฎหมายให้พระเณรอยู่ลำบาก จนถึงพระเณรร้างไปจากประเทศ
ดร.นิยม กล่าวอีกว่า ตนยืนยันว่า การจะปลดพระจากตำแหน่งหน้าที่นั้น มันเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นเรื่องไปทำให้พระผู้ใหญ่ที่บวชมานานจนแก่เฒ่า มีมลทิน ต้องสอบสวนให้ได้ความจริงชัดเสียก่อนนายกต้องรู้ว่า การปลดพระสังฆาธิการออกจากตำแหน่งจะต้องมีการร้องเรียนความผิด ซึ่งระบุไว้เป็นข้อๆ อยู่แล้วในกฎมหาเถรสมาคม ถ้ามีการร้องเรียนว่า เจ้าคณะจังหวัดทั้ง 3 รูป ท่านหย่อนยานเรื่องใด หรือมีพฤติการณ์ช่วยเหลือพระในปกครองให้พ้นผิดอย่างไร จะปลดเอาเฉยๆ โดยไม่สอบสวน ไม่ได้ มันมีขั้นมีตอนตามกฎหมายระบุเอาไว้
“นายกคงไปฟังข้อมูลผิดๆ จากการรายงานของสำนักพุทธฯว่ากฎมหาเถรสมาคมที่แก้ไขใหม่ สามารถปลดพระได้โดยไม่ต้องสอบสวน ตนขออธิบายข้อมูลที่ถูกต้อง ให้นายกได้เข้าใจว่า เป็นเพียงการเพิ่มขั้นตอนสุดท้ายเข้ามาเท่านั้น แต่ไม่ได้ยกเลิกขั้นตอนการสอบสวน ถ้าจะไม่ให้มีการสอบสวนก่อน นายกก็ต้องสั่งให้เลิกกฎมหาเถรสมาคมฉบับ 24 เสีย เมื่อกฎหมายยังไม่ยกเลิก ก็ยังต้องมีการสอบสวนตามขั้นตอน แต่เมื่อผู้ปกครองสงฆ์ไม่สอบสวน ถือเอาตามอำนาจที่ไม่ชอบที่ข้าราชการเขียนมาให้ และมีมติสั่งปลดเฉยๆ ผู้ปลดก็ถือว่าเป็นการละเมิดจริยาพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรง เมื่อเจ้าคณะภาค เจ้าคณะหน และกรรมการมหาเถรสมาคมละเมิดจริยาพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรงเสียเอง แล้วพระเณรจะไปพึ่งใคร จะไปขอความเป็นธรรมจากใคร แถมถือเป็นความปิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา ม.157”ดร.นิยม กล่าว
ดร.นิยม กล่าวอีกว่า ตอนนี้มีข่าวออกมาว่า ที่ชาวบ้านลูกศิษย์ลูกหาออกมาเคลื่อนไหวเพราะพระยึดติดตำแหน่ง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การยึดติดตำแหน่ง แต่ตำแหน่งทำให้พระท่านมีมลทิน เป็นเรื่องความไม่เป็นธรรมกับพระ เพราะมีกระบวนการนำมลทินไปแปดเปื้อนพระ ดังนั้น เราชาวพุทธต้องมาช่วยกันล้างให้สะอาด ตนมั่นใจว่า ในกรณีปลดโดยไม่มีการสอบนี้ หากลูกศิษย์ลูกหาของพระที่ถูกปลดลุกขึ้นสู้ตามกฎหมาย อย่างไรก็ชนะ เพราะไม่ได้มีการสอบขึ้นมาก่อน ตนจึงถามย้ำแล้วย้ำอีกว่า เจ้าคณะภาค เจ้าคณะหน อย่าให้ข้าราชหลอกใช้เป็นเครื่องมือทำร้ายพระกันเอง ท่านได้สอบมาตามขั้นตอนของกฎมหาเถรสมาคมหรือไม่ มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบไหม มีใครบ้างเป็นคณะกรรมการ ผลการสอบเป็นอย่างไร ถ้ามีการสอบมาก่อน ก็ตอบว่า ”สอบสวน ถ้าไม่สอบสวนก็ตอบว่า “ไม่สอบสวน” แต่ทุกฝ่ายก็อ้ำอึ้ง จนชาวบ้านเขาสงสัยในพฤติกรรมของมหาเถรสมาคมและสำนักพุทธฯ ตอนนี้ลามมาถึงนายกแล้ว เอาให้ชัด เมื่อไม่สอบสวน ก็ผิดขั้นตอนของกฎหมาย เรื่องนี้ตนได้ตั้งกระทู้ถามนายกไปแล้ว เปิดสภาเมื่อไหร่ เจอกัน.
Discussion about this post