
สภาวัฒนธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ ร่วมกับเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ วัดใต้โพธิ์ค้ำ และสมาคมสตรีอาเซียนจังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดโครงการถนนสายบุญนวพุทธศิลป์ ถิ่นเมืองน้ำดำ ประจำปี 2568 เพื่อส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ร่วมสร้างสังคมแห่งความสุข ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีในท้องถิ่น พร้อมจัดปาร์ตี้ข้าวจี่ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ร่วมสืบสานและต่อยอดวิถีอีสาน
วันที่ 11 กันยายน 2568 ที่ถนนสายบุญ หน้าวัดใต้โพธิ์ค้ำ เขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์ พระญาณรักขิต เจ้าคณะ จ.กาฬสินธุ์ (ธ) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ เปิดโครงการถนนสายบุญนวพุทธศิลป์ ถิ่นเมืองน้ำดำ ประจำปี 2568
จัดโดยโดยสภาวัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์ ร่วมกับเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ สำนักงานวัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์ วัดใต้โพธิ์ค้ำ และสมาคมสตรีอาเซียน จ.กาฬสินธุ์ โดยมี ดร.อุมารินทร์ เลิศสหพันธ์ ประธานสภาวัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์ นายกีรฒิการย์ พิมพะนิตย์ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยคณะสงฆ์ ส่วนราชการการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาชน เยาวชน ร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก
ดร.อุมารินทร์ เลิศสหพันธ์ ประธานสภาวัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า สภาวัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์ ตระหนักในความสำคัญการส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟู วัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ตามฮีต 12 คอง 14 และการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วนในการจัดกิจกรรมต่างๆ ในส่วนของการจัดโครงการถนนสายบุญนวพุทธศิลป์ ถิ่นเมืองน้ำดำ ประจำปี 2568
จึงได้บูรณาการกับเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ สำนักงานวัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์ วัดใต้โพธิ์ค้ำ และสมาคมสตรีอาเซียน จ.กาฬสินธุ์จัดขึ้น เพื่อส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ให้เกิดขึ้นกับคนในสังคม ร่วมสร้างสังคมแห่งความสุข ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีในท้องถิ่น
ดร.อุมารินทร์กล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรมในโครงการถนนสายบุญนวพุทธศิลป์ ถิ่นเมืองน้ำดำ ประกอบด้วยการฟ้อนสักการะบูชาหลวงพ่อโพธิ์ค้ำ จากโรงเรียนผู้สูงอายุวัดใต้โพธิ์ค้ำ การแสดงศิลปวัฒนธรรมโปงลางพื้นบ้าน จากโรงเรียนเทศบาล 4 เฉลิมพระเกียรติ การมอบเกียรติบัตรครอบครัวต้นแบบต้นบุญ การทำบุญตักบาตร สักการะหลวงพ่อโพธิ์ค้ำและปาร์ตี้ข้าวจี่ เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟู ให้อยู่คู่สังคมต่อไป
สำหรับข้าวจี่ ถือเป็นอาหารพื้นบ้านชาวอีสาน เดิมใช้ข้าวเหนียวที่นึ่งสุก ปั้นเป็นก้อนกลมโรยด้วยเกลือแกง ใช้ไม้เสียบตรงกลางแล้วนำไปอิงถ่านไฟร้อน ผิวข้าวจี่ก็จะเกรียมมีสีเหลือง กลิ่นหอม ต่อมามีการประยุกต์เป็นข้าวจี่มูน ปั้นเป็นก้อนหรือทำเป็นแผ่น นำชุบไข่เป็ดหรือไข่ไก่ที่ใช้เครื่องตีเป็นเนื้อเดียวกัน
จากนั้นนำไปอิงถ่านไฟ ก็จะให้กลิ่นหอมกรุ่นน่ารับประทาน สามารถรับประทานเป็นอาหาร และทำจำหน่าย นิยมรับประทานในฤดูหนาว และมีการจัดงานบุญข้าวจี่ตามวิถีอีสานในช่วงบุญเดือน 3 หรือบุญข้าวจี่ ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา ในโครงการถนนสายบุญนวพุทธศิลป์ ถิ่นเมืองน้ำดำครั้งนี้ จึงได้จัดกิจกรรมปาร์ตี้ข้าวจี่ เพื่อร่วมกันอนุรักษ์และให้อนุชนรุ่นหลังได้ร่วมสืบสานและต่อยอดด้วย