
“บิ๊กปู” พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ได้มีการประกาศชัด โดยสั่งให้ทุกหน่วยในสังกัด เน้นปราบปรามคนต่างด้าวที่กระทำความผิดกฎหมายอาญาในทุกรูปแบบอาชญากรรม โดยเฉพาะอาชญากรรมที่มีลักษณะการกระทำความผิดข้ามชาติ ซับซ้อน หรือเป็นรูปแบบองค์กร พร้อมกันนี้ได้สั่งการมอบหมายให้ พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. ควบคุมอำนวยการปฏิบัติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับพฤติการณ์ที่เป็นที่มาของการจับกุมผู้ต้องหาในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 พ.ต.อ.ปฏิญญา จีรชนาสิน รอง ผบก.ตม.1 พ.ต.อ.พลสิทธิ์ สุทธิอาจ ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้รับการประสานความร่วมมือจาก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) โดยการอำนวยการของ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมลเลขาธิการ ป.ป.ส. นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด นายไกรวุฒิ มณีรัตน์ ผู้อำนวยการส่วนประสานการปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศ เนื่องจากได้ทราบข้อมูลเบาะแสจากการปฏิบัติการข่าว เกี่ยวกับบุคคลต่างด้าวผิวสี ชื่อนายเอมมานูเอล แอ๊บโบ (Emmanuelle Abbo) นามสมมติ อายุ 40 ปี ซึ่งเชื่อว่าอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด มีที่พักอาศัยอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งย่านประตูน้ำและมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงได้ร่วมกันทำการสืบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
ซึ่งจากการสืบสวนโดยตรวจสอบในระบบสารสนเทศของ สตม. พบว่า นายเอมมานูเอลฯ ซึ่งเป็นเป้าหมายในการสืบสวน เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งล่าสุดด้วย ประเภทวีซ่านักท่องเที่ยว (60วัน) แต่การอนุญาตสิ้นสุดลงแล้ว นอกจากนี้ยังพยว่าเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับตำรวจสากล ในฐานะพ่อค้ายาเสพติดข้ามชาติ ที่ลักลอบส่งยาเสพติดน้ำหนัก 19 กิโลกรัม ผ่านบริษัทขนส่ง ไปจำหน่ายในประเทศเกาหลีใต้ และได้หลบหนีหมายจับโดยซ่อนตัวอยู่ในกรุงเทพมหานคร ชั้นในมาเป็นเวลากว่า 1 ปี
ต่อมา วันที่ 30 กันยายน 2568 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมประกอบด้วย พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ รอง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 พ.ต.ท.ทวีทรัพย์ ชัยภูมิ พ.ต.ท.ธงไทย ไพเราะ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1 นายอนุสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา น.ส.พิชญา มณีนิล น.ส.สุธินี เตชาวงศ์ เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. จึงได้วางแผนสนธิกำลังในการดำเนินการตามกฎหมายเพื่อคอยติดตามจับกุมนายเอมมานูเอลฯ โดยการนำกำลังลงพื้นที่ คอยเฝ้าสังเกตุการณ์โดยรอบโรงแรม จนกระทั่งเวลาประมาณ ๑ฝ17.30 น. จึงพบคนต่างด้าวรูปพรรณสัณฐานตรงกับ นายเอมมานูเอลฯ กำลังเดินอยู่ริมถนนเพชรบุรี ห่างจากที่โรงแรมที่พักประมาณ 50 เมตร เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายพร้อมทั้งแสดงบัตรประจำตัวให้ดู ก่อนสอบถามชื่อเพื่อยืนยันตัวตน ซึ่งในเบื้องต้น นายเอมมานูเอลฯ ซึ่งสามารถพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว รับแต่โดยดีว่า ตนเองคือคนเดียวกับบุคคลตามหมายจับตำรวจสากลดังกล่าวจริง และอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด พร้อมยังกล่าวว่าอยู่ในเมืองไทยมาตั้งแต่ปี 2559 เจ้าหน้าที่สอบถามว่ายังคงมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธเสียงแข็ง เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ จึงขยายผลเข้าตรวจสอบภายในห้องพักของนายเอมมานูเอลฯ โดยความบริสุทธิ์ใจของนายเอมมานูเอลฯ และได้แจ้งให้ผู้จัดการโรงแรมทราบถึงเหตุแห่งการตรวจค้น เมื่อนายเอมมานูเอลฯ ใช้คีย์การ์ดแตะเข้าไปในห้อง เจ้าหน้าที่พบอุปกรณ์เสพยาเสพติดทันที บริเวณชั้นวางทีวี จึงได้ควบคุมตัวนายเอมมานูเอลฯ ให้อยู่ในความสงบและลงมือตรวจค้นโดยละเอียดทีละจุดต่อหน้า นายเอมมานูเอลฯ และพยานผู้ดูแลโรงแรม ซึ่งผลจากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่พบอาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก มีหมายเลขทะเบียน ที่ซุกซ่อนอยู่ในซองหนังพกใน นอกจากนี้ยังพบปืนแบลงค์กันดัดแปลงลำกล้อง พร้อมชุดลั่นไก มีเข็มแทงชนวน อีก 2 กระบอกพร้อมแม็กกาซีนดัดแปลงสำหรับเครื่องกระสุนขนาด.38 ซ่อนอยู่ในกล่องเครื่องมือ พร้อมเครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม.ขนาด 11 มม.และขนาด .22 นิ้ว รวมเกือบ 80 นัด โดยมีทั้งที่บรรจุในแม็กกาซีนขึ้นลำพร้อมใช้และซุกซ่อนตามจุดต่างๆในห้องพัก นอกจากนี้ในกระเป๋าและถุงต่างๆที่อยู่ภายในห้อง เจ้าหน้าที่ยังพบเมทแอมเฟตามีน (ยาไอซ์) น้ำหนัก 2 กรัมเศษ ยาอี หรือ 3,4 เมทิลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 ซอง น้ำหนัก 1 กรัม เมทแอมเฟตามีนสีเขียวมิ้น อีกจำนวน 1 เม็ด
เบื้องต้น นายเอมมานูเอลฯ ให้การว่า อาวุธปืนพกสั้นขนาดต่างๆ ที่พบไม่ใช่อาวุธปืนของตนเอง แต่เป็นของเพื่อนคนไทยที่ได้มาจำนำไว้กับตน ส่วนยาเสพติดนั้นก็ไม่ใช่ของตนเอง ซึ่งเป็นของเพื่อนคนไทยอีกกลุ่มที่เข้ามาใช้ห้องของตนเป็นสถานที่มั่วสุมเสพยาและได้ลืมนำกลับไปด้วย จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้พาตัวนายเอมมานูเอลฯ ไปตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดโดยละเอียดที่โรงพยาบาล และผลการตรวจสอบพบว่าผลเป็นบวก (Positive) โดยพบสารเมทแอมเฟตามีนในปัสสาวะของผู้ถูกจับ ก่อนที่ผู้ถูกจับจะยอมรับว่า ตนเคยเสพยาไอซ์จริง แต่ไม่ได้เสพมา 1 วันแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ถูกจับว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด , มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมายและเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน หรือยาไอซ์)” และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งสิทธิ์ของผู้ถูกจับให้ทราบแล้ว โดย ผู้ถูกจับสามารถรับฟังภาษาไทยได้เป็นอย่างดี จากนั้นจึงได้ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สมเกียรติ ทรัพย์เฉลิม รายงาน




































