
เมื่แวันที่19 มิถุนายน67 ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวลำปาง ได้พามิสเตอร์คาเซฟ คาบูลู อายุ45ปี เป็นนักธุรกิจชาวคองโก พร้อมเพื่อสาวสัญชาติเดียวกันซึ่งเป็ลล่าม พูดภาษาอังกฤษได้ ที่เดินทางมาจากประเทศคองโก เข้าแจ้งความ ต่อ ร.ต.ท.ณัฐนันท์ กิจปฐมมานนท์ พนักงานสอบสวนสภ. เขลางค์นคร ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ได้พูดคุยสอบถามผ่านเพื่อนสาว พร้อมทั้งตรวจสอบเอกสารต่างๆ สลิปการโอนเงิน ทราบว่า มิสเตอร์คาเซฟ เป็นนักธุกิจ ติดต่อซื้อขายน้ำตาล จากประเทศไทยทางออกไลน์ เพื่อนำกลับไปขายที่ประเทศของตนเอง โดยครั้งแรกมีการติดต่อกับชาวอินเดีย เป็นคนประสานให้ติดต่อซื้อขายน้ำตาลทรายกับบริษัทแห่งหนึ่ง ที่จดทะเบียนพานิชย์ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ตั้งอยู่ในตำบลปงแสนทอง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง และมีโรงงานน้ำตาลทรายอยู่ในพื้นที่ลำปาง จนมีการตกลงสั่งซื้อน้ำตาลทราย จำนวน 128,000กิโลกรัม (กิโลกรัมละ12.88บาท ) รวมเป็นเงินประมาณ1,600,000บาท แต่ต้องมีการโอนเงิน30เปอร์เซนต์ เพื่อจ่ายค่าสินค้า เงินส่วนที่เหลืออีก70เปอร์เซนต์ ต้องจ่ายทั้งหมดเมื่อสินค้าไปถึงปลายทางที่ประเทศคองโกแล้ว
ต่อมาทางมิสเตอร์คาเซฟัง ได้โอนเงินเป็นเงินดอลล่า เข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นบัญชีของบริษัทดังกล่าว ที่ตั้งอยู่ลำปาง ติดต่อกัน3วัน ตั้งแต่วันที่10-11 และ 13พ. ค.67 รวมเป็นเงินไทยประมาณ5แสนบาท โดยเมื่อ3วันก่อนมอสเตอร์คาเซฟ จึงได้เดินทางจากคองโก พร้อมเพื่อนสาวที่เป็นล่าม เดินทางมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ และได้นั่งโดยสารรถไฟ มาลงที่สถานีรถไฟนครลำปาง เข้าพักโรงแรม เพื่อจะดูสินค้าและโรงงานน้ำตาลทรายในลำปาง โดยในวันนี้ทางบริษัทโรงงานน้ำตาลทราย ได้ส่งพิกัดที่ตั้งของโรงงานให้ ทางมิสเตอร์คาเซฟ ได้ว่าจ้างรถแท็กซี่ไปส่งตามพิกัด แต่กลับพบว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นหอพักนักศึกษาหญิง อยู่ด้านหลังโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย เขตเทศบาลนครลำปาง จึงรู้ว่าถูกหลอก จึงได้ติดต่อตำรวจท่องเที่ยวลำปาง พาเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เขลางค์นคร
โดยทางตำรวจท่องเที่ยวลำปาง ได้ประสานนายเอกสิทธิ์ มานะรุ่งโรจน์ ทนายความ เข้าร่วมรับฟังสอบถามผ่านล่าม เนื่องจากมิสเตอร์คาเซฟ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ โดยนายเอกสิทธิ์ ทนายความ เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นจากการตรวจสอบข้อมูลเอกสารต่างๆ และพูดคุยผ่านล่าม และตรวจสอบที่ตั้งของบริษัท ที่อ้างว่าเป็นโรงน้ำตาลทราย ตั้งอยู่ในตำบลปงแสนทอง อำเภอเมืองลำปาง มีการจดทะเบียนพานิชย์ถูกต้องตามกฎหมาย มีชื่อเป็นกรรมการบริษัท เป็นชาย3คน อายุยังน้อยอยู่ ระหว่าง20ปี และ20กว่าปี เป็นคนจังหวัดสกลนคร แต่จากการตรวจสอบที่ตั้งของบริษัท ไม่มีอยู่จริง ซึ่งกลุ่มบุคคลหรือมิจฉาชีพ ใช้ช่องโว่ จดทะเบียนพานิชเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการหลอกลวง ซึ่งตามกฎหมายมีความผิดฐานฉ้อโกงและนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เมื่อพนักงานสอบสวน ได้รับแจ้งความเป็นคดีแล้ว ตนเองขอประสานให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรีบดำเนินการในการอายัดบัญชีธนาคารดังกล่าวอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะกลุ่มบุคคลดังกล่าว จะได้ไม่ไปหลอกลวงคนอื่นอีก ส่วนกรรมการบริษัท ทั้ง3 คน ทราบชื่อหมดแล้ว ทางพนักงานสอบสวนจะได้ออกหมายเรียก มาสอบสวนปากคำต่อไป ว่ามีส่วนรู้เห็นหรือไม่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.
Discussion about this post